ความเชื่อผิดๆ ที่คิดว่าโรคกระดูกพรุนเป็นโรคของคนสูงอายุ แต่ความจริงแล้วกระดูกของเราจะเริ่มเสื่อมและบางลง เมื่อมีอายุ 45 ปี
ขึ้นไป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนอายุน้อยๆ จะเป็นโรคกระดูกพรุนไม่ได้ผู้หญิงจะมีโอกาสเสี่ยงมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะผู้หญิงในวัยหมดประจำเดือนเนื่องจากขาดฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคกระดูกพรุนและยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกมากมายที่ทำให้เกิดโรคกระดูกพรุนได้ เช่นการ ขาดวิตามินดี ขาดแคลเซียม ดื่มกาแฟมากเกินไป การไม่ออกกำลังกายการสูบบุหรี่ และยังพบโรคกระดูกพรุนในคนอายุน้อยๆ ที่ป่วยด้วยโรคบางอย่าง เช่น โรคอดอาหารจนเกิดความผิดปกติในการกินจากการกลัวอ้วนหรือโรคที่มีปัญหาในการดูดซึมของระบบทางเดินอาหาร โรคที่มีประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ หรือประจำเดือนขาดหายไปเป็นระยะเวลานาน (โดยไม่ได้ท้อง)หรืออาจจะเกิดโรคกระดูกพรุนจากการได้รับยาบางชนิด ส่วนใหญ่มักจะไม่มีอาการแสดง จนกระทั่งเกิดภาวะกระดูกหัก ก็จะเกิดอาการเจ็บปวด หรือความผิดปกติของโครงสร้างกระดูก เช่น ปวดข้อมือ สะโพก หรือหลังส่วนสูงลดลงจากเดิม เนื่องจากการหักและยุบตัวของกระดูกสันหลังซึ่งอาจเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว เป็นต้น ปัจจุบันโรคกระดูกพรุนนับเป็นโรคกระดูกเมตาบอลิก (Metabolic bone disease) ที่พบบ่อยที่สุดและพบว่าในปีหนึ่งๆ มีผู้สูงอายุนับล้านคนที่กระดูกสะโพกหักจากการหกล้มธรรมดา และอีกนับล้านคนมีกระดูกส่วนอื่นหักประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ที่กระดูกหัก 1 ครั้งจากโรคกระดูกพรุนมักเกิดกระดูกหักซ้ำ
จะรู้ได้อย่างไร ว่าเป็นโรคกระดูกพรุนหรือไม่ ???
บุคคลที่มีคุณสมบัติต่อไปนี้ควรได้รับการตรวจความหนาแน่นกระดูกเพื่อยืนยันว่าเป็นโรคกระดูกพรุนหรือไม่ และเพื่อการรักษาป้องกันตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
1.ผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป และผู้ชายที่มีอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไป
2.ผู้หญิงอายุต่ำกว่า 65 ปี และผู้ชายอายุต่ำกว่า 70 ปี ที่มีปัจจัยเสี่ยงอย่างน้อย 1 ข้อดังต่อไปนี้
2.1 ผู้หญิงที่ถูกตัดรังไข่ทั้งสองข้าง หรือหมดประจำเดือนก่อนอายุ 45 ปี
2.2 ผู้หญิงที่มีภาวะขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนก่อนเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนต่อเนื่องนานกว่า 1 ปี ยกเว้นกรณีตั้งครรภ์และให้นมบุตร
2.3 ผู้ที่รับประทานยาหรือฉีดยาสเตียรอยด์เป็นระยะเวลานาน
2.4 ผู้ที่มีประวัติ บิดาหรือมารดาเคยกระดูกสะโพกหัก
2.5 ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนที่มีดัชนีมวลกาย น้อยกว่า 19 kg/m2
3.ผู้ที่ตรวจเอกซเรย์แล้วพบภาวะกระดูกบาง หรือกระดูกสันหลังผิดรูป
4.ผู้ที่มีประวัติกระดูกหักจากอุบัติเหตุที่ไม่รุนแรง
5.ผู้ที่มีส่วนสูงลดลงมากกว่า 4 เซนติเมตร หรือวัดได้ลดลงมากกว่า 2 เซนติเมตรต่อปี
6.ผู้ที่อยู่ในกลุ่มความเสี่ยงปานกลางขึ้นไป จากการตรวจคัดกรองด้วย OSTA index หรือ KKOS score หรือ nomogram
อย่างไรก็ตามมิใช่ว่าผู้ป่วยที่ปวดหลัง ปวดสะโพก ปวดข้อมือทุกราย มีสาเหตุมาจากโรคกระดูกพรุน แต่ถ้าหากท่านใดมีอาการเหล่านี้ หรือเป็นหนึ่งในกลุ่มเสี่ยง ขอแนะนำให้พบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านกระดูกและข้อจะดีที่สุด
ขอบคุณข้อมูลโดย : นพ.รณศักดิ์ มงคลรังสฤษฎ์
ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ รพ.ปิยะเวท
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี