คุณเคยมีคนที่รู้จักป่วยเป็นโรคตับแข็งหรือไม่ หากคนที่ป่วยเป็นตับแข็งนั้น มีประวัติดื่มแอลกอฮอล์อย่างมากก็คงไม่เป็นที่น่าประหลาดใจเพราะพบเห็นได้บ่อยในสังคมไทย แต่ถ้าคนที่เป็นตับแข็งนั้นเค้าไม่เคยดื่มแอลกอฮอล์เลย หรือดื่มในปริมาณน้อยมาก ก็จะเกิดคำถามขึ้นได้ ว่าเค้าเป็นตับแข็งกันได้อย่างไร
ไขมันพอกตับคืออะไร
ไขมันพอกตับ (Fatty Liver) มีชื่อเรียกหลายชื่อ เช่น ไขมันเกาะตับ ไขมันจุกตับ แต่ขอให้เข้าใจตรงกันว่า คือภาวะที่มีไขมันสะสมแทรกอยู่ในเนื้อตับ ซึ่งตับปรกติจะไม่เป็นแบบนั้น
ไขมันพอกตับ เกิดจากสาเหตุอะไร และมีอันตรายอย่างไรบ้าง
ภาวะไขมันพอกตับมักจะเกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก ภาวะไขมันพอกตับจากการดื่มแอลกอฮอล์แบบนี้ถือเป็นภาวะที่พบบ่อย และทราบกันมายาวนาน แต่ก็พบว่ามีผู้ป่วยที่มีภาวะไขมันพอกตับส่วนหนึ่งไม่ได้บริโภคแอลกอฮอล์เลย หรือบริโภคแต่น้อย แบบหลังนี้จะเรียกว่า “โรคไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์” ภาษาทางการแพทย์ใช้คำว่า Non-Alcoholic Fatty Liver Disease (NAFLD)ในที่นี้ขอเรียกสั้นๆว่า “โรคไขมันพอกตับ” นะครับ ซึ่งโรคนี้พบบ่อยในประชาชนที่มีปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ มีน้ำหนักเกินกว่าเกณฑ์ หรือ เป็นโรคอ้วน หรือ เป็นเบาหวาน หรือ มีไขมันในเลือดสูง โดยเฉพาะผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้หลายข้อรวมกัน ยิ่งพบว่ามีโอกาสเป็นโรคนี้สูงมาก ข้อมูลจากการศึกษาต่างๆพบว่า ในผู้ป่วยเบาหวาน 100 คน จะเป็นไขมันพอกตับประมาณ 50-70 คน ผู้ป่วยโรคอ้วน100 คน พบภาวะไขมันพอกตับได้ถึง 40-90 คน และหากมีไขมันสะสมในตับที่ถูกปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้รับการรักษาการอักเสบของตับดำเนินไปเรื่อยๆ จะก่อให้เกิดพังผืดขึ้นในเนื้อตับ เช่นเดียวกันหากไม่ได้รับการรักษาพังผืดที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จะนำไปสู่ภาวะตับแข็ง และอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนเป็นมะเร็งตับได้ ยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่เป็นโรคไขมันพอกตับ ยังมีอัตราการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดสูงกว่าคนปกติ
จะทราบได้อย่างไรว่าเป็นไขมันพอกตับ
เนื่องจากโรคไขมันพอกตับมักไม่ทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการผิดปกติใดๆ ยกเว้นดำเนินสู่การเป็นตับแข็งระยะท้าย หรือเป็นมะเร็งตับเสียแล้ว จึงค่อยออกอาการ เช่น อ่อนเพลีย จุกท้อง เบื่ออาหาร เป็นต้น โรคนี้จึงถือเป็นอันตรายที่แอบแฝงมาอย่างเงียบๆ กว่าจะมีอาการ ก็อาจสายเสียแล้ว ดังนั้นการตรวจสุขภาพตั้งแต่ยังไม่มีอาการ จึงมีประโยชน์อย่างมากในการป้องกันการเป็นตับแข็งหรือมะเร็งตับ โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคดังได้กล่าวข้างต้น
การตรวจสุขภาพเพื่อหาภาวะไขมันพอกตับ สามารถทำได้โดย
ตรวจเลือด นอกจากช่วยในการหาโรคที่เป็นปัจจัยเสี่ยง เช่น น้ำตาลในเลือดสูง ไขมันในเลือดสูงแล้ว ยังใช้ดูว่ามีการอักเสบของตับหรือไม่
ตรวจอัลตราซาวนด์ตับ หากมีไขมันพอกตับจะพบภาพอัลตราซาวนด์เนื้อตับมีความขาวมากกว่าปกติ
ตรวจด้วยเครื่องตรวจวัดปริมาณพังผืดและไขมันในตับ ปัจจุบันนิยมใช้วิธีนี้เป็นหลักเพราะสะดวก รวดเร็ว ตรวจวัดได้ทั้งค่าไขมันและพังผืดในคราวเดียวออกมาเป็นค่าตัวเลขใช้เปรียบเทียบก่อน-หลังการรักษาได้
เจาะตรวจชิ้นเนื้อตับ มักใช้เป็นทางเลือกสุดท้าย เพราะยุ่งยาก มีความเสี่ยงต่อผู้ป่วย ใช้ยืนยันการวินิจฉัยในกรณีผู้ป่วยที่มีความซับซ้อน
หากไม่อยากเป็นโรคไขมันพอกตับควรปฏิบัติตัวอย่างไร
หากมีโรคประจำตัวเป็นโรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ต้องควบคุมโรคเหล่านั้นให้ดี
หากมีภาวะน้ำหนักเกิน หรือ โรคอ้วน ต้องลดน้ำหนักให้กลับมาอยู่ในเกณฑ์ปกติ
ควบคุมอาหาร อย่ารับประทานมากจนเกินไป รับประทานให้เหมาะสมกับกิจกรรมที่ทำในแต่ละวัน รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ตามสัดส่วน เน้นที่กลุ่มพืชผักที่มีกากใยอาหารสูง งดอาหารและเครื่องดื่ม
ที่มีน้ำตาลฟรุกโตสสูง(มีรสหวาน) เช่น น้ำอัดลม น้ำหวาน น้ำผลไม้รสหวานเค้ก คุกกี้ ฯลฯ
ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ด้วยชนิดการออกกำลังกายที่มีความหนักปานกลาง (ในผู้สูงวัยหรือผู้ที่สุขภาพไม่อำนวย แนะนำออกกำลังกายโดยการแกว่งแขน)
งดการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ตรวจสุขภาพเป็นประจำ
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าบทความนี้จะช่วยให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคไขมันพอกตับ รวมทั้งช่วยให้ท่านผู้อ่านได้หันมาดูแลสุขภาพให้ห่างไกลจากโรคไขมันพอกตับกันนะครับ
นพ.วรวรุตม์ จันเจือมาศ
อายุรแพทย์โรคระบบทางเดินอาหาร รพ.ปิยะเวท
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี