ผู้เขียนได้มีโอกาสไปบรรยายเรื่องสายกลาง (ตามหลักพระพุทธศาสนา) เพื่อสุขภาพ ให้กับพระภิกษุสงฆ์ฟังหลายๆ แห่งในนามของสภากาชาดไทย ได้รับปัญหาจากพระสงฆ์หลายรูปว่าเมื่อปฏิบัติสายกลางคือไม่กินอาหารมื้อเย็นมาตลอดเวลาที่บวชมา ทำไมจึงมีพระเป็นจำนวนมากยังเป็นเบาหวาน ยังอ้วน และความดันโลหิตสูงได้ ทำความงุนงงให้กับผู้เขียนมาก จึงเริ่มศึกษาหาเหตุผลเพื่อหาอธิบายปัญหาดังกล่าว และในที่สุดก็ได้คำตอบคือ “น้ำปานะ”
ก่อนอื่นมาเรียนรู้เรื่องน้ำปานะก่อนว่าคืออะไร
คำว่า “ปานะ” แปลว่าเครื่องดื่มหรือน้ำดื่มที่ได้จากผลไม้ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงอนุญาตไว้ 8 ชนิด หรือเครื่องดื่มที่คนมาถวายไว้แล้วฉันได้วันหนึ่งกับคืนหนึ่ง เป็นเครื่องดื่มที่ฉันได้หลังเที่ยงไปแล้ว หรือฉันได้ทั้งวันกับหนึ่งคืนก่อนรุ่งอรุณ ที่กำหนดไว้เช่นนั้นเพราะสมัยก่อนไม่มีตู้เย็นเก็บไว้นานกว่านี้น้ำผลไม้จะเสีย สมัยนี้มีตู้เย็นจึงเก็บไว้ได้นานขึ้น
จากหนังสือ “พระไตรปิฎก ฉบับเก็บตก” โดยท่านธรรมรักษา แสดงไว้ว่า ผู้บัญญัติให้เกิดการดื่มน้ำปานะท่านแรกคือ เกณยชฎิล ปรากฏหลักฐานอยู่ในพระไตรปิฎก พระวินัยเล่มที่ 5 ข้อที่ 86 ในที่นั้นพระพุทธองค์ทรงแสดงน้ำปานะหรือน้ำอัฐบานไว้ 8 อย่าง คือ1.น้ำมะม่วง 2.น้ำลูกหว้า 3.น้ำกล้วยมีเมล็ด 4.น้ำกล้วยไม่มีเมล็ด 5.น้ำมะทราง 6.น้ำลูกจันทน์หรือน้ำองุ่น 7.น้ำเง่าบัว 8.น้ำมะปรางหรือน้ำลิ้นจี่ และได้เพิ่มเติมอีก ทรงอนุญาตให้ดื่มน้ำผลไม้ทุกชนิด (ยกเว้นน้ำต้มเมล็ดข้าวเปลือก) น้ำดอกไม้ทุกชนิด (เว้นน้ำดอกมะทราง)น้ำอ้อยสด แต่ในปัจจุบันความเจริญก้าวหน้าทุกด้านโดยเฉพาะเครื่องดื่มพวกเราจึงไม่ทำน้ำปานะเอง
ตามหลักเกณฑ์เดิมที่พระพุทธองค์บัญญัติไว้เพราะสะดวกแค่เสียเงินซื้อมา ก็นำไปถวายได้แล้วแถมยังเก็บได้นานกว่าหนึ่งวันหนึ่งคืน ไม่บูดไม่เสีย นอกจากนี้ใส่ตู้เย็นเอาไว้เก็บได้เป็นอาทิตย์ เป็นเดือน เช่น น้ำชาเขียว น้ำโคล่า น้ำเป๊ปซี่ น้ำอัดลมอื่นๆ น้ำขิง เป็นต้น ซึ่งน้ำทั้งหลายหาซื้อได้ในท้องตลาดจึงเป็นที่นิยมซื้อนำไปถวายพระภิกษุสงฆ์กัน
โดยสรุปน้ำปานะก็คือ “น้ำหวาน” นั่นเอง
ทีนี้มาดูกันทางแพทย์ว่าน้ำปานะหรือน้ำหวานทำให้เกิดอะไรบ้าง?
แป้งเป็นสารอาหารชนิดหนึ่งในห้าที่มนุษย์กินเป็นอาหารและจำเป็นต่อร่างกายมาก ถ้ากินแป้งโดยเฉพาะน้ำตาลมาก จะทำให้น้ำตาลในเลือดสูง ถ้าสูงมากๆ นานๆ ทำให้ “โคม่า” ตายได้ ในทางตรงกันข้าม ถ้าน้ำตาลในเลือดต่ำ สมองและระบบประสาทจะหยุดทำงาน เพราะน้ำตาลเป็นพลังอย่างเดียวของระบบประสาทที่จะใช้ได้จึงทำให้ตายได้เช่นกัน ฉะนั้นน้ำตาลในเลือดสูงก็ตาย ต่ำก็ตาย ระดับน้ำตาลในเลือดจะต้องอยู่ที่ประมาณ 100 มก. เท่านั้น เมื่อเรากินน้ำตาลมากๆ น้ำตาลในเลือดสูง ร่างกายจะให้ตับอ่อนหลั่งอินซูลิน เพื่อมาเปลี่ยนน้ำตาลให้เป็นพลังงานและเปลี่ยนเป็นไขมันที่เรียกว่า ไตรกลีเซอไรด์ (คนละตัวกับคอเลสเตอรอล) และไขมันจากน้ำตาลนี้ก็สามารถทำร้ายร่างกายได้เหมือนคอเลสเตอรอล เช่น 1.ทำให้ความดันโลหิตสูง เพราะไขมันไปค้ำผนังหลอดเลือดซึ่งเป็นกล้ามเนื้อเรียบสีขาว ทำให้ยืดหดตัวลำบากขึ้น ความดันจึงสูงขึ้น 2.ทำให้รูหลอดเลือดเล็กลง เลือดจึงไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ น้อยลง ทำให้อวัยวะต่างๆ เสื่อมหรือแก่เร็วขึ้น 3.ถ้าไขมันอุดตันที่เส้นเลือดที่ไหน เช่น ไปอุดตันในสมอง จะทำให้เกิดอัมพาตครึ่งซีก ถ้าไปอุดตันที่ไต ต้องล้างไตเปลี่ยนไต ถ้าไปอุดตันที่ขาต้องตัดขา ใส่ขาเทียม ถ้าไปอุดตันที่เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ หัวใจวายเฉียบพลัน ตายได้ สรุปคือไขมันในหลอดเลือดทำให้เสื่อมเร็ว แก่เร็ว ตายเร็ว
เมื่อร่างกายต้องหลั่งอินซูลินมากๆ เมื่อกินหวานมากๆ สิ่งที่จะได้คือ 1.ไขมันไตรกลีเซอไรด์ มากขึ้น ทำให้อ้วน 2.ตับอ่อนทำงานหนัก จนไม่สามารถหลั่งอินซูลินได้ ทำให้เกิดโรคเบาหวาน 3.อินซูลินที่หลั่งมากๆ จะไปกระตุ้นสมอง (เพราะอินซูลินไปทำให้น้ำตาลในเลือดต่ำ เท่ากับร่างกายขาดน้ำตาล) ทำให้อยากกินหวานเพิ่มขึ้น จึงเข้าวงจรวนไปวนมาอันตรายมาก 4.คนขับรถทางไกลดื่ม เครื่องดื่มที่มีกาแฟผสมกับน้ำตาลหวานมากๆ เมื่อดื่มเข้าไป กาแฟกระตุ้นทำให้หายง่วง แต่เมื่ออินซูลินหลั่งออกมาน้ำตาลในเลือดลดลง ทำให้เกิดสภาพขาดน้ำตาล จึงอยากกินน้ำตาลอีก เป็นวงจรต่อเนื่อง และในขณะน้ำตาลในเลือดต่ำลง สมองจะขาดพลังงานทำให้ง่วงนอน ทำให้หลับใน เกิดอุบัติเหตุรุนแรงได้
ทั้งหมดนี้คืออันตรายจากการดื่มน้ำหวานมากๆ บ่อยๆ ทีนี้มาดูเรื่องน้ำตาล โดยเฉพาะแป้งเป็นคาร์โบไฮเดรต ซึ่งตามโครงสร้างมี 2 ชนิด คือ 1.คาร์โบไฮเดรต ชนิดเชิงเดียว 2.คาร์โบไฮเดรตชนิดเชิงซ้อน
น้ำตาลเชิงเดียว เป็นพวกย่อยง่าย หรือบางทีไม่ต้องย่อยเลย หรือใช้เวลาประมาณ 20 นาที ก็ย่อยได้หมด จึงดูดซึมเข้าร่างกายได้ทันที ดื่มมากเท่าไรก็เข้าร่างกายได้มากเท่านั้น ทำให้น้ำตาลในเลือดสูงมากทันที ร่างกายก็จะหลั่งอินซูลินออกมามาก เข้าวงจรต่อเนื่องที่กล่าวไว้ข้างต้น
น้ำตาลเชิงซ้อน เมื่อกินเข้าไปก็จะต้องเปลี่ยนให้เป็นน้ำตาลเชิงเดียวก่อนจึงจะดูดซึมเข้ากระแสเลือดซึ่งต้องใช้เวลากว่า 120 นาทีและที่สำคัญเมื่อกินอาหารที่เป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าว ก๋วยเตี๋ยว ขนมปัง เป็นต้น คำแรกค่อยๆ ย่อยจนเป็นเชิงเดียวดูดซึมเข้าร่างกายได้ก่อน คำต่อไปจะทยอยเปลี่ยนไปเรื่อยๆ น้ำตาลจึงค่อยๆ ทยอยดูดซึมเข้าร่างกาย ถ้าเราทำงานอยู่ก็จะใช้น้ำตาลเป็นพลังงานได้ทันไม่ไปทำร้ายร่างกายอันตรายจึงน้อยกว่าน้ำตาลเชิงเดียวมาก
(อ่านต่อฉบับหน้า)
ศาสตราจารย์กิตติคุณ นายแพทย์เสก อักษรานุเคราะห์
ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูสภากาชาดไทย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี