ทั้งนี้ ผู้แทนสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติม ดังนี้
๑.การปิดบัญชีโดยมีนายทุนไปทำการปิดบัญชีให้นั้นน่าจะเป็นปัญหาในหลายพื้นที่แต่เชื่อว่าน่าจะเป็นกองทุนที่อ่อนแอ ที่จัดให้อยู่ในกลุ่มร้อยละ ๑๐ เพราะทุกรายงานเลขบัญชีที่ผิดปกติจะปรากฏที่ธนาคารติดตามอยู่และจะแจ้งให้กองทุนทราบว่ามีอะไรเกิดขึ้น โดยกระบวนการติดตามตรวจสอบกองทุนจะแบ่งออกเป็น ๔ กลุ่ม ได้แก่
- กลุ่มที่ ๑ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ทุก ๓ ปีจะลงพื้นที่ตรวจสอบเงินกองทุน ในแต่ละปีจะสุ่มตรวจกองทุน ๑๐,๐๐๐-๒๐,๐๐๐ แห่ง เพื่อตรวจสอบผลของการใช้เงินกองทุนเป็นอย่างไร
- กลุ่มที่ ๒ สำนักงานจังหวัด โดยจะมีประธานกองทุนหมู่บ้านของจังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน พัฒนาการจังหวัดเป็นเลขานุการ ประธานอนุกรรมการกองทุนอำเภอโดยมีนายอำเภอเป็นประธาน และพัฒนาการอำเภอเป็นเลขานุการ กระบวนการตรวจสอบจะดูในเรื่องของการใช้เงินหรืองบการเงินประจำปีโดยอนุกรรมการกลุ่มนี้ก็จะรับรายงานและดูรายงานในทุกพื้นที่ของอำเภอ ของจังหวัด ถ้าพื้นที่ใดไม่ผ่านอนุกรรมการมีสิทธิ์ยับยั้งการใช้เงินในปีต่อไป กองทุนฯไม่สามารถไปตรวจสอบบัญชีจำนวน ๗๙,๐๐๐ กว่าแห่งได้ ก็จะอาศัยกลไกของภาครัฐ ของจังหวัดในส่วนของอำเภอบริหารจัดการแทนถ้าพบปัญหาใดๆ ผู้ว่าราชการจังหวัดหรือนายอำเภอสามารถดำเนินการแก้ไขในระดับพื้นที่ยกเว้นที่จะต้องมีกระบวนการใช้ระเบียบของกองทุนฯ ก็จะส่งเรื่องมาให้กองทุนฯดำเนินการ
- กลุ่มที่ ๓ เครือข่ายกองทุน ค่อนข้างเป็นผู้ใกล้ชิดและชี้ให้เห็นว่ากองทุนไหนมีปัญหาอย่างไร เนื่องจากเครือข่ายจะทำหน้าที่ลงไปแก้ปัญหากองทุนด้วย เครือข่ายก็จะบอกข้อมูลให้กองทุนทราบว่าอะไรเกิดขึ้นกับกองทุนเหล่านั้นและจะต้องลงไปแก้ไขกระบวนการต่างๆ เหล่านั้นได้อย่างไร
- กลุ่มที่ ๔ กองทุนฯจ้างสถาบันการศึกษาลงไปติดตามประเมินเป็นรายปีหรือประเมินในภาพรวม โดยกองทุนฯจะต้องส่งเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ลงไปติดตามผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
รัฐบาลนี้ไม่เน้นเรื่องของการใช้กองทุนเพื่อกู้เงิน กระบวนการกู้เงินรัฐบาลยังให้กองทุนดำเนินการต่อเนื่องในกระบวนการซึ่งรัฐบาลปัจจุบันมองเห็นจุดอ่อน คือ การกู้เงินจะเป็นการสร้างภาระให้กับสมาชิก เกิดหนี้เสีย หรือการกู้นั้นเป็นการกู้เพื่อสร้างภาระหรือเป็นการกู้เพื่อสร้างอนาคต รัฐบาลนี้จึงเปลี่ยนทิศทางสนับสนุนกองทุนโดยให้เป็นการลงทุนของกองทุนเพื่อโครงการประชารัฐ เพราะฉะนั้น จำนวนเงิน ๓๕,๐๐๐ ล้านบาท และจำนวนเงิน ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท ที่รัฐบาลให้กองทุนไม่ได้ประสงค์ให้เป็นการกู้เงินต้องการให้กองทุนไปทำโครงการต่างๆให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม และรัฐบาลมองว่าเมื่อกองทุนไปทำโครงการต่างๆ แล้วจะเกิดการสร้างอาชีพขึ้นมา นโยบายของรัฐบาลปัจจุบันจึงสนับสนุนกองทุนอีกมิติหนึ่งควบคู่กับการกู้เงิน คือ สร้างกระบวนการของการลงทุน
๒.ประชาชนนำเงินไปใช้จริงตามโครงการหรือไม่นั้น ถ้าในระดับนโยบายรัฐมนตรีจะออกตามโครงการและให้คณะออกติดตามโครงการทุกเดือนว่าโครงการที่ทำนั้นมีโครงการอะไร เป็นอย่างไรบ้างและเกิดผลอย่างไรในส่วนของกองทุนได้จ้างสถาบัน ๑๓ แห่งทั่วประเทศทำหน้าที่ลงไปติดตามโครงการประชารัฐทุกโครงการและสรุปผลออกมาว่าโครงการประชารัฐทุกโครงการเกิดผลอย่างไรแล้วจะตรวจสอบจากบัญชีประชารัฐของกองทุนที่กองทุนไปเปิดบัญชีกับ ๓ ธนาคารว่า บัญชีประชารัฐของกองทุนมีเงินหมุนเวียน และกลับคืนมาหรือไม่โดยแยกออกมาเป็นบัญชีประชารัฐ คือ บัญชีลงทุน บัญชีกู้ยืม คือ บัญชีแหล่งทุน และในวันนี้กองทุนจะมี ๒ บัญชี คือ บัญชีลงทุน กับบัญชีกู้ยืม โดยจะมีการประเมินควบคู่กันไปว่าเกิดอะไรขึ้นในการดำเนินการ
๓.ปัญหาที่เกิดจากกรรมการไม่ชอบมาพากล กรรมการฉ้อโกงกรรมการมีเจตนาไม่ชอบ ในลักษณะเช่นนี้จะต้องแก้ไขไปที่กรรมการอีกปัญหาส่วนหนึ่งเป็นปัญหาของสมาชิก คือ สมาชิกไม่ใช่เงินคืนหรือสมาชิกมีปัญหาประการใดก็จะเป็นกระบวนการแก้ปัญหาที่สมาชิกแนวทางที่สำนักงานกองทุนฯทำ คือ กระบวนการแก้ปัญหาที่กรรมการจะขอความอนุเคราะห์จากสำนักงานอัยการสูงสุดไปดำเนินการที่ผ่านมาสำนักงานอัยการสูงสุดจะลงไปเป็นรายกองทุนโดยใช้อัยการ สคช. ในพื้นที่ลงไปทำโมเดลแก้ปัญหาติดตาม ทวงหนี้ ติดตามเงินที่สูญหาย ติดตามเงินที่มีปัญหาของกองทุน
๔.โครงการประชารัฐที่กองทุนตั้งใจไปทำโครงการมีภาคเอกชนหลายส่วนที่ไปขายของให้กับกองทุนทำให้เกิดกระบวนการไปเบียดบังผลประโยชน์ในหลายส่วนที่เกิดขึ้น ได้มีการติดตามปัญหาอยู่
๕.โครงการของกองทุน เรียกว่า โครงการประชารัฐ เป็นโครงการที่รัฐจัดเงินให้กองทุนไปลงทุนไม่ใช่ไปกู้ยืม ไม่ได้ให้ก่อหนี้ แต่เป็นเรื่องที่กองทุนจะไปลงทุนทำร้านค้า ทำลานตากอเนกประสงค์ ฯลฯ แยกเป็น ๗๖ จังหวัด ดำเนินการโดยให้ไป ๒ รอบ รอบแรก คือ ๓๕,๐๐๐ ล้านบาท กองทุนจะขอได้วงเงินประมาณ ๕๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อดำเนินการ แล้วมีผลประเมินออกมาที่ทำให้รัฐบาลพอใจในระดับหนึ่ง จึงให้เพิ่มอีกจำนวน ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท ให้กองทุนไปดำเนินการต่อโดยให้กองทุนละ ๒๐๐,๐๐๐ บาทสรุปคือว่า กองทุนในต่างจังหวัด ๗๖ จังหวัด ได้เงินจากรัฐประมาณ ๗๐๐,๐๐๐ บาทต่อกองทุน ไปดำเนินการสร้างโครงการต่างๆ ให้เกิดประโยชน์แก่ชุมชนตามแนวทางประชารัฐ เฉพาะของกรุงเทพมหานคร รัฐบาลมองว่า ตัวกองทุนของกรุงเทพมหานครมีสมาชิกจำนวนมากกว่า กระบวนการการใช้เงินการลงทุนของกองทุนในกรุงเทพมหานครมีค่าของเงินมากกว่าในการใช้เงินในต่างจังหวัด ดังนั้นรัฐบาลจึงให้เงินกับทางกรุงเทพมหานครในวงเงินกองทุนละ ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท หากเปรียบเทียบ คือ ต่างจังหวัดได้เงิน ๗๐๐,๐๐๐ บาท กรุงเทพมหานครได้เงิน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท เนื่องจากในกรุงเทพมีการดูแลสมาชิกมากกว่าในแต่ละกองทุนดำเนินการและกระบวนการใช้เงินก็แตกต่างกัน เฉพาะในกรุงเทพมหานครมีการขอโครงการเข้ามาจำนวน ๑๐๐ โครงการ กรรมการอนุมัติให้โครงการเหล่านี้ไปดำเนินการได้ จึงแถลงข่าวว่ารัฐบาลสนับสนุนเงินเฉพาะในส่วนของกรุงเทพมหานคร ๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อดำเนินการ
๖.กองทุนชุมชนทหาร เป็นกองทุนที่ดำเนินการภายใต้ค่ายทหาร ภายใต้กองทัพ ซึ่งหน่วยงานต่างๆ อาจจะเข้าไปไม่ถึงกองทุนจึงจัดตั้งขึ้นมาภายใต้สายการบังคับบัญชาของทหารมีทั้งหมด ๑,๐๐๐ แห่ง ทั่วประเทศ ตั้งอยู่ในเขตทหารเพื่อดำเนินการขับเคลื่อน เรียกว่า กองทุนชุมชนทหารโดยเฉพาะรัฐบาลสนับสนุนให้กองทุนชุมชนทหารเป็นแหล่งกู้ยืมให้กับครอบครัวทหารในเขตและช่วยเหลือสมาชิกของทหารในพื้นที่ ในกระบวนการดำเนินการ ชุมชนทหารได้ขอโครงการประชารัฐมาเช่นเดียวกับโครงการในกรุงเทพมหานคร ในเขตทหารมี ๑๘๐ แห่ง ในกรุงเทพมหานครที่ดูแลได้รับการอนุมัติ ๑๑ แห่ง โดยนำไปทำร้านค้าในเขตทหารเพื่อลงไปส่งเสริมสวัสดิการของครอบครัวทหาร
๗.โครงการประชารัฐของกองทุน เป็นโครงการที่บริหารโดยกองทุน กิจกรรมที่กองทุนดำเนินการจะเป็นกิจกรรมทำเพื่อส่วนรวมและให้เป็นการบริการเช่าหรือบริการประชาชนในการขายให้กับประชาชนเช่าหรือขายก็แล้วแต่เป็นรายได้ให้กับกองทุน สิ่งที่ประชาชนได้รับ เช่น โครงการบริการน้ำมันเชื้อเพลิง คือ การสร้างปั๊มน้ำมันของชุมชน
๘.ร้านค้าประชารัฐที่เข้าสู่การเป็นร้านธงฟ้า เบื้องต้นมีการทำร้านค้าประชารัฐโดยจะติดธงฟ้าประชารัฐให้บัตรสวัสดิการไปซื้อสินค้าที่ร้านค้าเหล่านี้ โดยกระทรวงพาณิชย์วางเป้าหมายไว้ ๒๐,๐๐๐ แห่ง จะมุ่งที่ร้านขายของชำ (โชว์ห่วย) ของกระทรวงพาณิชย์ ได้รับความกรุณาจากนโยบายรัฐบาลว่า เพื่อไม่ให้เป็นร้านขายของชำเพียงอย่างเดียวอยากให้เป็นร้านค้าชุมชนของชาวบ้าน
ด้วยจึงให้กองทุนหมู่บ้านเข้ามามีส่วนร่วมในการที่จะไปติดเครื่องอีดีซี ให้ใช้บัตรสวัสดิการต่างๆได้ด้วย กองทุนหมู่บ้านจึงนำ ๒๐,๐๐๐ ร้านค้าส่งรายชื่อให้กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการคลังช่วยดำเนินการไปร้อยละ ๕๐ คือ ได้ร้านค้า จำนวน ๑๐,๐๐๐ แห่ง
ข้อคิดเห็นในประเด็นต่างๆ ดังนี้
๑.กองทุนฯ นี้ขาดการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทุกคนทราบถึงการดำเนินการของกองทุนหรือ ผลดี ผลเสียของกองทุนว่าเป็นอย่างไร
๒.ควรที่กองทุนฯจะต้องมีนโยบายที่จะลงพื้นที่ตรวจสอบโครงการที่นำเสนอมายังกองทุนฯในพื้นที่ต่างๆตามหมู่บ้านต่างๆ ว่ามีโครงการที่นำเสนอมาขอเงินกองทุนอยู่จริง
๓.คณะกรรมการกองทุนในพื้นที่ต่างๆ ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ใหญ่บ้าน กำนัน หรือนายกองค์การบริหารส่วนตำบลเข้ามาเป็นกรรมการ และเป็นบุคคลที่กู้เงินมากกว่าคนอื่นๆ เนื่องจากใช้เส้นสายของตนเมื่อถึงเวลาจะต้องจ่ายคืนเงินกองทุนก็ไม่สามารถหาเงินมาคืนได้ทำให้ต้องหนีออกจากพื้นที่ไปอยู่ที่อื่น ทางกองทุนมีนโยบายที่จะลงพื้นที่จริงไปตรวจสอบ
ร่วมแสดงความคิดเห็นได้ที่คณะกรรมาธิการการสังคม เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาสสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โทร.๐๒-๘๓๑ ๙๒๒๕-๖ โทรสาร ๐๒-๘๓๑๙๒๒๖
สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ถนนอู่ทองใน ดุสิต กทม. 10300 email : dek_senate@hotmail.co.th หรือ Facebook: กมธ.พัฒนาสังคม
หรือ กลุ่มงานคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและกิจการเด็กฯ วุฒิสภา โทร.02-831-9225-6 แฟกซ์ 02-831-9226
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี