ท่านที่จะซื้อหุ้นเอง ต้องศึกษาหาข้อมูลก่อนอย่างละเอียด ซึ่งปัจจุบันการหาความรู้ดีกว่าสมัยผมเริ่มทำงานใหม่ๆ ปัจจุบันมีการบรรยายออนไลน์(ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ด้วยการออกกำลังกายไป ฟังไป) มีบทความ การเสวนา ทั้งเสียเงินและไม่เสียเงิน ถ้ามีเวลา สามารถหาความรู้ อ่านหรือฟังอย่างง่ายดาย
ถ้าไม่มีเวลา ไม่มีความรู้ มีเงินน้อย ซื้อกองทุนรวมจะดีที่สุด แต่กระนั้นก็ควรเลือกซื้อกองทุนที่ดี(อ่าน คุย ถาม ฟัง ก่อน) ถ้ามีเวลายาวนาน อายุยังน้อย ซื้อกองทุนที่เน้นหุ้น แล้วจะเลือกกองทุนที่มีปันผลหรือไม่ก็แล้วแต่ ถ้าไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงิน เอาแบบไม่มีปันผลจะดีกว่า เพราะเงินที่เอามาปันผลจะถูกนำไปทบต้น ทำให้ต้นงอกงามรวดเร็ว ทั้งนี้ ถ้ารับเงินปันผลจะถูกหักภาษี 10% แต่ถ้าเราไม่รับเงินปันผลเพราะเลือกแบบเอาไปทบต้น ถ้าราคากองทุนขึ้น และเราขายกองทุน กำไรที่ได้ไม่ต้องเสียภาษี
ถ้าอยากซื้อหุ้นเอง มีเวลา ก็ไม่ยาก แต่ต้องหาความรู้ใส่ตัวก่อน เมื่อมีความรู้แล้วควรซื้อหุ้นเพียง 5-10 ตัวเท่านั้น ซื้อหุ้นแบบระยะยาว(แบบWarren Buffet นักลงทุนระดับโลก) ซื้อหุ้นที่พื้นฐานดี รู้จังหวะการซื้อ ถึงแม้หุ้นพื้นฐานดี ธุรกิจดี แต่ซื้อผิดจังหวะก็ขาดทุน หรือต้องรอนานเป็นปีๆกว่าจะได้กำไร ต้องรู้ความหมายคำว่า P/E, P/B Trend, PSI, MACD ฯลฯ ควรซื้อสำหรับอนาคต คือ ซื้อแล้วไม่ขาย ซื้ออย่างเดียว เรา(แพทย์)ช่วงนี้ไม่มีเวลาไปติดตามหุ้นว่า จะซื้อเมื่อไหร่ ขายเมื่อไหร่จึงจะดี และประเด็นคือ ตอนเริ่มต้นเรามีเงินน้อย ซื้อได้ไม่กี่ 100-1000 หุ้น ถ้าซื้อระยะสั้นและขาย แม้ได้กำไรก็ไม่มาก สู้ซื้อและทิ้งไว้ระยะยาว พอมีเวลา มีเงินมาก มีความรู้ จะขายบ้าง(บางส่วน) ซื้อบ้างก็น่าจะได้
แต่หลักๆ คือ ลงทุน(ไม่ใช่เล่นหุ้น)เพื่ออนาคต เพื่อตอนเกษียณอายุ ต้องรู้จักความพอเพียง อย่าโลภ อย่าทำให้ตัว ครอบครัวหรือใครเดือดร้อน อย่าลงทุนแบบเก็งกำไร อย่าเชื่อกระแส ต้องดูงบ
การเงิน ดูกราฟ วิเคราะห์ทางเทคนิคเป็น ถ้าทำแบบนี้เรื่อยๆ พออายุ 55 ปี เราอาจมี financial freedom หรืออิสรภาพทางการเงิน จะมีทรัพย์สินเพียงพอที่หาเงินแทนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยที่เราไม่ต้องทำงาน(เป็นแพทย์)เลยก็ได้ แต่ถึงแม้มีฐานะดีแค่ไหน แม้เกษียณแล้ว ผมยังอยากให้ทุกๆ คนทำงานต่อบ้าง จะได้สนุก ไม่เบื่อ เป็นประโยชน์ต่อสังคมและป้องกันโรคสมองเสื่อมอีกด้วย
เมื่อมีรายได้จากทรัพย์สินที่มี โดยเราไม่ต้องทำงานประจำ เรียกว่าเรามี financial freedom และมี passive income ทำให้อาจเกษียณเร็วกว่ากำหนด ไปเที่ยวรอบประเทศไทย อาเซียน เอเชีย ยุโรป อเมริกา โดยเฉพาะอเมริกาใต้ ไปเที่ยวรอบโลกได้ เพราะชีวิตไม่ควรมีแต่งาน เราเกิดมามีชีวิตเดียว(อย่างน้อยที่เราจำได้) ต้อง enjoy บ้าง
นอกจากนั้น ยังมีทองคำ ที่ดิน คอนโดฯ หรือรถ(ให้เช่า) หรือรายได้จากลิขสิทธิ์อีกด้วย อาจซื้อทองคำแท่งไว้บ้าง เพราะไม่ว่าราคาทองคำจะตกแค่ไหน ก็ยังมีค่าของการเป็นทองคำอยู่ดี ส่วนหุ้นตกแล้วจะไม่เหมือนทองคำ แต่หุ้นมีวัฏจักรของมัน ถึงแม้เป็นหุ้นดี พื้นฐานดี แต่ทุก 1-2 ปีจะขึ้น จะลง และตลาดหุ้นมีขาลงมากๆ ประมาณทุก 10 ปี ฉะนั้นซื้อหุ้นอย่าดูเฉพาะหุ้นที่มีพื้นฐานดีเท่านั้น ควรดูจังหวะที่จะเข้าซื้อด้วย ถ้าซื้อหุ้นดี แต่ซื้อในจังหวะไม่ดี เป็นช่วงที่ราคาสูงเกินไป เราอาจจะขาดทุนได้ หุ้นอาจตกลงไปอีกมาก และตกอยู่นานปี ฉะนั้นแม้ซื้อหุ้นพื้นฐานดี ก็ต้องดูด้วยว่าตอนนั้นราคาแพงเกินไปหรือไม่
ถ้ามีความรู้ อ่าน ติดตามมากๆ เราอาจจะดูจังหวะตอนทีตลาดเป็นขาลง เช่น ในยามที่บ้านเมืองหรือโลกมีปัญหา ถ้ามีเงินสด เราไม่ต้องซื้อหุ้นตลอดเวลาก็ได้ แต่ปี 2 ปีซื้อทีหนึ่ง ตอนหุ้นดีแต่ราคาตก (จากสภาพภายนอกไม่ใช่จากตัวบริษัทเอง) ถ้าซื้อตอนหุ้นดี ราคาตก เราจะได้ของดี ถ้าซื้อหุ้นที่ดีแล้ว เช่น หุ้นที่ทำอะไรเกี่ยวกับการกิน การใช้ เพราะคนต้องกินต้องใช้ อาจถือเป็นระยะยาวเลยก็ได้
ผมเพียงอยากให้มองภาพกว้าง ภาพรวม แต่ก่อนลงทุนซื้อหุ้นเอง ต้องศึกษาทุกแง่มุมของตลาด ดูงบเงินเป็น ดูข้อมูลเป็นด้านเทคนิค กราฟ ต้องศึกษาตัวบริษัทเจ้าของหุ้นว่า ทำธุรกิจอะไร ไม่ใช่ซื้อเพราะคนอื่นๆเขาซื้อกัน เป็นที่รู้กันทั่วไปว่า 80-90% ของผู้“เล่นหุ้น”ขาดทุน แต่เราไม่จำเป็นต้องขาดทุน ถ้าเราศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนซื้อหุ้นที่ดี เมื่อราคาเหมาะสมและถือยาวๆไม่ใช่ซื้อขายระยะสั้น ถ้ามีความรู้จริง ถึงแม้ตลาดหุ้นจะตกก็ยังอาจทำกำไรได้
ผมอยากให้ทุกคณะในมหาวิทยาลัยมีการสอนภาคบังคับหัวข้อต่างๆ เหล่านี้ คือ1.การดูแลสร้างเสริมสุขภาพป้องกันโรค รวมทั้งปฐมพยาบาลเบื้องต้น การกู้ชีพ ใช้เครื่อง AED(Automated External Defibrillator หรือเครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าอัตโนมัติ) 2.การหาเงิน ใช้เงินเป็น การออม การลงทุน รวมทั้งเกี่ยวกับภาษี 3.ความรู้ทางกฎหมายที่ใช้ในชีวิตประจำวัน 4.ความรู้ด้านรัฐศาสตร์ 5.ภาษาอังกฤษ และ6.ความปลอดภัยบนท้องถนนเพราะประเทศไทยมีอัตราการเสียชีวิตเป็นอันดับหนึ่งของโลก
ผมเองเริ่มเอาข้อมูลวิธีการลงทุนไปให้หลานๆ 6 คนอายุ 12–18 ปีอ่าน และเมื่อใครอายุถึง 20 ปี ถ้ามีความรู้ดี อาจให้เงินก้อนเล็กๆ ไปลงทุนด้วยตัวของเขาเองด้วย
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี