(ต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว)
ความเร่งด่วน
จากสถานการณ์โครงสร้างประชากรดังกล่าวข้างต้น ส่งผลให้เกิดปัญหาในปัจจุบันและอนาคตของสังคมผู้สูงอายุ ซึ่งในบางจังหวัดของประเทศไทย ได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์แล้ว ขณะเดียวกันในบางอำเภอ เช่น อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน และอำเภอบ้านแพ้วจังหวัดสมุทรสาคร ได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์แล้วเช่นกัน ดังนั้นการเตรียมพร้อมในเรื่องของการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ จึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ควรจะมีการบูรณาการของหน่วยงานที่รับผิดชอบ
(๑) ปัญหานโยบายและยุทธศาสตร์ชาติ จากข้อมูลขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ พบว่า ประเทศไทยมีการเพิ่มจำนวนของประชากรอายุ ๖๕ ปี เป็น ๒ เท่าในเวลา ๒๐ ปี ขณะที่ประเทศสวีเดนใช้เวลา ๘๕ ปี ประเทศฝรั่งเศสใช้เวลา ๑๑๕ ปี อีกทั้ง แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แผนยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี และ Thailand ๔.๐ ยังไม่ได้ให้ความสำคัญกับปัญหาสังคมผู้สูงอายุเท่าที่ควร จากข้อมูลของมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย (๒๕๕๙) ภาครัฐต้องตระหนักปัญหา ๓ ด้าน คือ การเตรียมความพร้อมเข้าสู่วัยสูงอายุ การสร้างหลักประกันรายได้ และ ระบบการคุ้มครองผู้สูงอายุ
(๒) ปัญหาด้านกฎหมาย แม้ว่าจะมีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. ๒๕๔๖ และปฏิญญาผู้สูงอายุ แต่สิทธิของผู้สูงอายุก็ไม่ได้รับการคุ้มครองดูแลอย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากปัญหาของกลไกการคุ้มครองพิทักษ์สิทธิ ช่องว่างในการบังคับใช้กฎหมาย และขาดมาตรการลงโทษที่ชัดเจน ซึ่งพระราชบัญญัติผู้สูงอายุเป็นเรื่องของการกำหนดสิทธิของผู้สูงอายุเท่านั้น ดังนั้น จะเห็นได้ว่าประเทศไทยยังคงมีปัญหาในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุ เช่น มาตรฐานและการควบคุมมาตรฐานของสถานรับดูแลผู้สูงอายุ บุคลากรที่ดูแลผู้สูงอายุไม่ว่าจะเป็นผู้จัดการระบบการดูแลผู้สูงอายุ (Care Manager) หรือผู้ดูแลผู้สูงอายุ (Care Giver) รัฐไม่มีกลไกในการควบคุมดูแลอย่างเป็นระบบ ทั้งกฎหมาย มาตรการ และหน่วยงานรับผิดชอบที่ชัดเจน
ทั้งนี้ ผู้สูงอายุอาจจะถูกล่วงละเมิดสิทธิทางด้านร่างกายและทรัพย์สิน ซึ่งพบได้ว่า กฎหมายที่จะให้การคุ้มครองดูแลทรัพย์สินของผู้สูงอายุได้นั้น คือ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๘ และมาตรา ๓๒ ซึ่งผู้สูงอายุต้องเป็นบุคคลวิกลจริต กายพิการ หรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ โดยผู้สืบสันดานหรือพนักงานอัยการ ร้องขอต่อศาลให้สั่งผู้สูงอายุที่มีลักษณะดังกล่าว เป็นคนไร้ความสามารถ หรือ คนเสมือนไร้ความสามารถ ต้องอยู่ในความดูแลของผู้อนุบาลหรือผู้พิทักษ์ ซึ่งมีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องกับความสมบูรณ์ในการทำนิติกรรมของผู้สูงอายุดังกล่าว แต่ก็มิได้มีกฎหมายหรือมาตรการในการติดตามกำกับดูแลการกระทำของบุคคลที่ทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์หรือผู้อนุบาล ซึ่งอาจทำให้ผู้สูงอายุไม่ได้รับการคุ้มครองดูแลทรัพย์สินอย่างมีประสิทธิภาพและคำนึงถึงประโยชน์ของผู้สูงอายุ อีกทั้ง ประเด็นการคุ้มครองผู้สูงอายุจากการถูกกระทำความรุนแรง กฎหมายที่บังคับใช้ในปัจจุบันที่สำคัญ คือ พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๐ แต่ผู้สูงอายุขาดการรับรู้เกี่ยวกับสิทธิของตนเองและไม่สามารถเข้าถึงสิทธิในการได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายดังกล่าว เนื่องจากผู้สูงอายุมองว่าตนเองไม่ได้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงจากบุคคลในครอบครัวและสังคมยังคงมองว่าการกระทำความรุนแรงในครอบครัวเป็นเรื่องภายในครอบครัว จากสภาพปัญหาดังกล่าวข้างต้นจึงส่งผลโดยตรงถึงคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ
ดังนั้น จึงควรมีการออกนโยบายสาธารณะที่จะมีผลต่อการกำหนดและปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย กำหนดนโยบายแห่งรัฐ รวมไปถึงมาตรการที่สามารถคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิของผู้สูงอายุได้อย่างมีประสิทธิภาพ
(๓) ปัญหาด้านเศรษฐกิจ
- ข้อมูลการสำรวจประชากรสูงอายุในประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมพบว่าผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่เพียงลำพังมีจำนวนร้อยละ ๑๐.๘ และผู้สูงอายุมีแหล่งรายได้หลัก ดังนี้
(๑) จากบุตร ร้อยละ ๓๔.๗
(๒) จากการทำงาน ร้อยละ ๓๑
(๓) เบี้ยยังชีพจากทางราชการ ร้อยละ ๒๐
(๔) เงินบำเหน็จบำนาญ ร้อยละ ๕.๙
(๕) คู่สมรส ร้อยละ ๔.๖
- จากงานวิจัยของศาสตราจารย์ ดร.วรเวศม์ สุวรรณระดา (๒๕๕๙) พบว่า ปัจจุบันแรงงานไทย จำนวน ๒๔ ล้านคน ไม่มีหลักประกันรายได้ยามชราภาพร้อยละ ๓๕.๗ มีแหล่งรายได้จากการออมหรือถือครองทรัพย์สิน และ ร้อยละ ๓๘.๓ ยังต้องทำงานหาเลี้ยงชีพ ข้อมูล ณ วันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๐ พบว่า กองทุนการออมแห่งชาติ มีสมาชิกเพียง ๕๒๓,๑๑๑ คน จึงไม่ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
- ภาระงบประมาณของเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุซึ่งมีจำนวนถึง ๖๐,๔๔๗,๗๘๘,๔๐๐ บาท สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๑ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา โดยในปี พ.ศ.๒๕๖๐ ได้รับงบประมาณจำนวน ๕๘,๙๐๒,๒๖๖,๔๐๐ บาท
(๔) ปัญหาการคลัง จากข้อมูลสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (๒๕๕๙) พบว่า การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ส่งผลให้ภาครัฐจัดเก็บภาษีได้น้อยลง สวนทางกับรายจ่ายภาครัฐที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
(๕) ปัญหาการจ้างงานและหลักประกันรายได้ยามชราภาพ ปัจจุบันการจ้างงาน ในภาครัฐเกษียณ อายุ ๖๐ ปี ตามพระราชบัญญัติบําเหน็จบํานาญข้าราชการ พ.ศ. ๒๔๙๔ เป็นกฎหมายที่เก่าแก่ที่สุดอีกฉบับหนึ่งของไทย ในยุคนั้น คนไทยอายุเฉลี่ยเพียง ๕๗ ปี เท่านั้น ปัจจุบันคนไทยอายุเฉลี่ย ๗๗ ปี การคลังของประเทศจึงต้องแบกรับภาระเงินบำเหน็จบำนาญเป็นช่วงยาวขึ้น โดยผู้รับบำเหน็จบำนาญเหล่านี้ ทางเศรษฐศาสตร์แล้ว ไม่มีส่วนในการสร้างผลิตภาพเลย
จากข้อมูลสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (๒๕๕๙) พบว่าในภาคการจ้างงานเอกชนได้กำหนดเกษียณอายุการทำงานอายุ ๕๕ ปีกองทุนประกันสังคมก็ต้องแบกรับภาระ ส่งผลกระทบเป็นภาระต่อกองทุนชราภาพในระยะยาวเป็นอย่างมากในปัจจุบันและไม่พอเพียงในการดำรงชีพ
อีกทั้ง ไม่มีกฎหมายที่จะส่งเสริมการจ้างงานภายหลังอายุ ๖๐ ปี หรือการขยายอายุเกษียณ แม้จะได้มีการแก้ไขพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน ในปี พ.ศ.๒๕๖๐ แล้วก็ตาม เพื่อให้สามารถกำหนดเงื่อนไขการจ้างงานผู้สูงอายุและกำหนดอายุเกษียณไว้ที่อายุ ๖๐ ปี โดยสมัครใจ
(๖) ปัญหาโครงสร้างประชากร อัตราการเกิดประชากรไทยปี พ.ศ.๒๕๑๕ ร้อยละ ๓.๓ ลดลงเหลือ ร้อยละ ๑.๒ ในปัจจุบัน ส่งผลให้โครงสร้างประชากรไทยเปลี่ยนแปลงเร็วมาก
(๗) ปัญหาค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพผู้สูงอายุ จากข้อมูลสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ปัจจุบันคนไทยอายุเฉลี่ยสูงขึ้น ภาครัฐต้องตั้งงบประมาณรายจ่ายเพิ่มมากขึ้นทุกปี ในขณะที่ฐานภาษีลดลง รายได้ภาครัฐจึงลดลง ส่งผลต่อการพัฒนาประเทศในด้านอื่น ในอดีตจนถึงปัจจุบันภาครัฐต้องจ่ายด้านสุขภาพผู้สูงอายุ คิดเป็นร้อยละ ๐.๖๔ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product : GDP) และในปี พ.ศ.๒๕๖๒ รัฐต้องจ่ายเพิ่มเป็น ร้อยละ ๑.๑ ของ GDP
(๘) ปัญหาค่าใช้จ่ายของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง จากข้อมูลสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (๒๕๖๐) พบว่า ปัจจุบันค่าใช้จ่ายผู้สูงอายุติดเตียงของประเทศ ๓,๓๘๐ ล้านบาทต่อเดือน และ ในปี พ.ศ.๒๕๗๓ ประเทศไทยมีประชากรสูงอายุ ๒๐ ล้านคน ค่าใช้จ่ายผู้สูงอายุติดเตียงเพิ่มเป็น ๕,๒๐๐ ล้านบาท ต่อเดือน หรือ ๖๒,๔๐๐ ล้านบาท ต่อปี
สาระสำคัญ กระบวนการ ขั้นตอน การจัดทำระเบียบวาระแห่งชาติ
(๑) กระบวนการ ขั้นตอน การจัดทำระเบียบวาระแห่งชาติ
คณะกรรมาธิการการสังคม เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการและผู้ด้อยโอกาส สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้ตระหนักเห็นความสำคัญของการดูแลและพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุเพื่อการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ จึงได้ดำเนินการพิจารณาศึกษาและจัดทำรายงานผลการพิจารณาศึกษาพร้อมทั้งข้อเสนอแนะ จำนวน ๔ เรื่อง ได้แก่
๑) รายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง “การสังเคราะห์การดูแลผู้สูงอายุในประเทศไทย : ปัญหาและข้อเสนอแนะ”
๒) รายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง “การเตรียมความพร้อมเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ”
๓) รายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง “บุคลากรในกระบวนการดูแลผู้สูงอายุ”
๔) รายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง “มาตรฐานสถานรับดูแลผู้สูงอายุ”
จากรายงานการพิจารณาศึกษาดังกล่าวข้างต้น จากปัญหาหลายด้านและมีความซับซ้อนเกี่ยวกับสังคมผู้สูงอายุ จึงเห็นสมควรให้มีการพิจารณาสังคมผู้สูงอายุให้เป็นระเบียบวาระแห่งชาติ โดยการดำเนินการเพื่อให้ระเบียบวาระแห่งชาติสำเร็จนั้นต้องประกอบไปด้วย
- การวิเคราะห์ความเสี่ยงของผู้สูงอายุในด้านต่างๆ เพื่อสร้างกลไก ระบบการติดตาม เฝ้าระวังการละเมิดสิทธิในชีวิต ร่างกายและทรัพย์สินของผู้สูงอายุ
- ปรับปรุงและพัฒนากฎหมายที่คุ้มครองผู้สูงอายุ และเพิ่มประสิทธิภาพของการบังคับใช้กฎหมาย
- การสร้างความตระหนักถึงวัฒนธรรมแห่งการเคารพผู้สูงวัย ปรับทัศนคติของคนทุกวัย ถึงคุณค่าเพื่อให้ลดปัญหาการเหยียดวัย
- สร้างการพัฒนาเครือข่ายระดับชุมชนให้มีศักยภาพในการดูแลผู้สูงอายุทุกกลุ่ม
- เสริมสร้างนวัตกรรมเพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการระบบการดูแลผู้สูงอายุ โดยครอบครัวและชุมชน
(๒ ) ประโยชน์ของการเป็นระเบียบวาระแห่งชาติของสังคมผู้สูงอายุ
- เพื่อแสดงศักยภาพในการส่งเสริมการเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ของประเทศไทย โดยการร่วมมือของภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมในรูปแบบประชารัฐ
เพื่อให้เกิดระบบที่มีคุณภาพและมาตรฐานในการบริหารจัดการสังคมผู้สูงอายุ โดยมีการเตรียมการด้านสาธารณูปโภค ด้านสาธารณสุขด้านงบประมาณ ด้านเศรษฐกิจ และด้านสารสนเทศ ให้พร้อมที่จะรองรับปัญหาที่จะเกิดขึ้นในการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ โดยมีมาตรการควบคุมและรายงานผลที่เป็นสากล
- คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ต้องผลักดันและให้ความสำคัญในการนำแผนและนโยบายของรัฐไปสู่การปฏิบัติ และเกิดนวัตกรรมสำหรับการบริหารจัดการที่ดีในผู้สูงอายุเพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีตามอัตภาพ
- ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญในการเตรียมความพร้อมของตนเองในทุกด้าน เพื่อเป็นผู้สูงอายุที่มีคุณภาพทั้งร่างกายและจิตใจ และสามารถดูแลผู้สูงอายุในครอบครัวและชุมชนของตนเองได้อย่างมีคุณภาพ
(๓) กลุ่มเป้าหมาย
๑) หน่วยงานขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ
- คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ
- ส่วนราชการ ทั้งส่วนกลาง (กระทรวง / กรม) ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น (องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล กรุงเทพมหานคร และพัทยา)
- องค์กรของรัฐที่เป็นอิสระ
- องค์กรศาล องค์กรอื่นและองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ
- องค์กรภาคเอกชนและภาคประชาสังคม
๒) ประชาชน
- ประชาชนทุกคนทุกช่วงวัย
ผลกระทบหากไม่ได้มีการดำเนินงานให้สังคมผู้สูงอายุเป็นระเบียบวาระแห่งชาติ
ประเทศไทยต้องรับภาระงบประมาณในการดูแลผู้สูงอายุที่มากขึ้น และไม่มีระบบการดูแล ช่วยเหลือ คุ้มครอง และพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุที่มีประสิทธิภาพขาดการบูรณาการ ทั้งด้านงบประมาณ บุคลากร และภารกิจของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งจะทำให้เกิดความร่วมมือในการทำงานร่วมกันทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมให้ขับเคลื่อนการทำงานด้านผู้สูงอายุไปด้วยกัน ส่งผลให้รัฐไม่สามารถดูแลผู้สูงอายุได้อย่างทั่วถึง ซึ่งกระทบต่อความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ
ข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการ
๑) เห็นควรเสนอรัฐบาลประกาศให้ “สังคมผู้สูงอายุเป็นระเบียบวาระแห่งชาติ” ตั้งแต่วันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นวันผู้สูงอายุแห่งชาติ เป็นของขวัญปีใหม่ไทยให้กับผู้สูงอายุทั้งประเทศ
๒) ให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง นำระเบียบวาระแห่งชาติที่จะได้กำหนดขึ้นและผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติไปสู่การปฏิบัติเพื่อให้กระบวนการการดำเนินงานด้านผู้สูงอายุมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ในปี พ.ศ.๒๕๖๔ พร้อมทั้งให้รายงานผลการดำเนินงานตามระเบียบวาระแห่งชาติตามที่จะได้กำหนดไว้
๓) ให้คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติติดตามและประเมินผลการปฏิบัติตามนโยบายและแผนหลักที่กำหนดมาจากระเบียบวาระแห่งชาติ
ร่วมแสดงความคิดเห็นได้ที่คณะกรรมาธิการการสังคม เด็ก เยาวชน สตรีผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส สภานิติบัญญัติแห่งชาติ โทร.๐ ๒๘๓๑ ๙๒๒๕-๖โทรสาร ๐ ๒๘๓๑ ๙๒๒๖
สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ถนนอู่ทองใน ดุสิต กทม. 10300 email : dek_senate@hotmail.co.th หรือ Facebook: กมธ.พัฒนาสังคมหรือ กลุ่มงานคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและกิจการเด็กฯ วุฒิสภา โทร.02-831-9225-6 แฟกซ์ 02-831-9226
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี