ประสบการณ์การสอนของผมได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากการที่ผมได้เรียนรู้อะไรต่างๆ ใหม่ๆ ตลอดเวลา จนถึงทุกวันนี้ในการสอนนิสิตแพทย์ แพทย์ ต่อมาประชาชน ตอนนี้สอนเฉพาะแพทย์ประจำบ้าน ภาควิชาอายุรศาสตร์ ปีที่ 2 (resident) และแพทย์ประจำบ้านต่อยอด (Fellow) ทางสาขาวิชาระบบทางเดินอาหาร การสอนของผมได้มีการพัฒนาไปเรื่อยๆ จากการสอนโรคทางระบบทางเดินอาหารเท่านั้น ตั้งแต่ดั้งเดิม กลายเป็นการสอนวิธีเรียน การสอนเพื่อการสอบ วิธีการเตรียมตัวสู่โลกภายนอก การเขียนประวัติตนเอง วิธีพูด วิธี “ขาย” ของให้เก่ง เพื่อได้คะแนนดีๆ ตอนสอบ หรือความสามารถในการขายนี้ สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ เช่น พูดเก่งจนคุณพ่อคุณแม่ให้เงินไปทำอะไรก็ตามๆ ที่ขอ พูดเก่งจนนายอนุมัติโครงการ หรือพูดเก่งจนภรรยาอนุญาตให้ไปเที่ยวได้ และยังให้ตังค์ไปอีกด้วย?! วิธีการวางตนเองในสังคม การเข้ากับคนได้ทุกระดับ ทุกวัย ความสามารถในการสื่อสาร ต่อมาเพิ่มการดูแล สร้างเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค พยายามไม่เป็นโรคที่ป้องกันได้ เพราะโรคที่ป้องกันไม่ได้ก็ยังมีอีกเยอะ ผู้ทีไม่ใช่แพทย์อาจแปลกใจว่า ทำไมหมอยังไม่รู้เรื่องการดูแล สร้างเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค ทั้งๆ ที่เป็นแพทย์ แพทย์มีความรู้ดีมากเรื่องสุขภาพอยู่แล้ว แต่ไม่รู้ทุกแง่ทุกมุม แพทย์บางคนยังมีจุดอ่อนในเรื่องนี้อย่างน้อย 2 เรื่อง จากประสบการณ์ที่ผมเห็น คือ หนึ่งไม่ทราบว่าสารอาหารอะไรจึงกินแล้วทำให้มีพละกำลังดี แรงไม่ตก มีแพทย์จำนวนมาก(รวมทั้งนักกีฬา ผู้บริหารกีฬา ฯลฯ) นึกว่ากินเนื้อสัตว์มากๆ แล้วแรงจะไม่ตก ข้อที่ 2 แพทย์เองยังไม่ทราบว่าการออกกำลังกายอะไรจึงจะดีต่อสุขภาพอย่างแท้จริงการออกกำลังกายที่ดีต่อสุขภาพ ไม่ใช่จะออกกำลังกายอะไรก็ได้ เช่น เตะฟุตบอล หรือเล่นเทนนิส หรือเล่นแบดมินตัน หรือตีกอล์ฟ โดยเล่นกีฬาชนิดต่างๆ นี้อย่างเดียว การออกกำลังกายที่ดีต้องเป็นการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่แท้จริง ซึ่งก็คือทำให้หัวใจ ปอด ระบบหมุนเวียนโลหิตแข็งแรง หลักของการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ คือ ต้องใช้กล้ามเนื้อกลุ่มใหญ่ เช่น แขน หรือขา ให้ 1) นานพออย่างต่อเนื่อง คือ 30 นาที 2) ต้องออกกำลังกายให้หัวใจเต้นเข้าเป้าเป็นเวลา 30 นาที เป้าก็คือ 70% ของความสามารถสูงสุดที่หัวใจของคนอายุเท่านั้นที่จะเต้นได้ ความสามารถสูงสุดที่หัวใจของคนๆ นั้นจะเต้นได้คือ เอา 220 - อายุปี เช่น คนอายุ 40 ปี ความสามารถสูงสุดที่หัวใจจะเต้นได้ (Maximal Heart Rate, MHR) คือ 220-40 หรือ 180 ครั้งนั่นเอง แต่ในการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ ออกให้หัวใจเต้นเพียง 70% ของ MHR ก็คือ 70 x 180 หารด้วย 100 = 126 ครั้ง/นาที นี่เป็นทฤษฎี ทางด้านปฏิบัติ ไม่จำเป็นต้องวัดชีพจร เดินเร็วๆ เต็มที่ หัวใจก็เต้นเข้าเป้าแล้ว
ปัจจุบันทราบแล้วว่าการออกกำลังกายเบาๆ ก็จะดีต่อสุขภาพเช่นกัน เช่น การเดิน การทำงานบ้าน การทำสวน แต่ขอให้ทำวันละ 30-60 นาที อย่างน้อย 5 ครั้ง/สัปดาห์
ผมเป็นคนที่ถ้าจะทำอะไร จะต้องทำให้เต็มที่ 100% ตอนเริ่มต้นสอนใหม่ๆ ก็สอนทางด้านวิชาการเท่านั้น แต่กาลเวลาผ่านไป ผมมีความรู้สึกว่าแค่นี้ยังไม่พอ (ผมสอนนอกเวลา นอกเหนือหน้าที่ เป็นการสมัครใจทั้งผู้สอนและผู้ถูกสอน จึงไม่รบกวนเวลาทางการ และไม่จำเป็นต้องสอนเฉพาะวิชาระบบทางเดินอาหาร) ที่จะเตรียมลูกศิษย์ผมให้เผชิญกับโลกภายนอก ซึ่งจะต้องไปเป็นแพทย์ใช้ทุน ดูแลผู้ป่วยมาก อาจ 50-100 คนในเวลา 3 ชั่วโมง โดยอาจไม่มีแพทย์พี่เลี้ยง ในโรงพยาบาลต่างจังหวัด ซึ่งปีที่ 2, 3 ของการใช้ทุน มักเป็นโรงพยาบาลชุมชน(อำเภอ) จะต้องเผชิญกับปัญหาภายนอก เจ้าพ่อ เจ้าแม่ มาเฟีย ฯลฯ เยอะแยะเลย จะต้องรู้เรื่องทางด้านบริหารจัดการ การบริหารคน ซึ่งมีความหลากหลาย ฉะนั้นลูกศิษย์ผมต้องเตรียมพร้อม จึงค่อยๆ เป็นที่มาของคุณสมบัติที่ผมอยากให้ลูกศิษย์ผมมี คือ ความดี ความดีเป็นคุณสมบัติที่ทุกๆ คนต้องมี ไม่ใช่เฉพาะแพทย์ และต้องมาก่อนสิ่งอื่นใด ตามด้วยความเก่ง รอบรู้ และต้องมีสุขภาพที่ดี ผมบอกลูกศิษย์เสมอว่า แพทย์ถ้าเป็นคนดี ที่เก่ง เราคือ “เจ้าพ่อ” “เจ้าแม่” ตัวจริง เพราะเรามีอาวุธที่ดีอยู่ในมือ คือ การช่วยไม่ให้คนตาย และหรือไม่ให้ทรมาน ถ้าเราทำดี มีความดี นำหน้าความเก่ง ไม่เห็นแก่เงิน ช่วยทุกๆ คน มีจริยธรรม ศีลธรรม โอบอ้อมอารี เอาใจเขามาใส่ใจเรา ทุกๆ คนก็จะรัก เอ็นดูเรา ยกย่องนับถือเรา ไม่ว่าจะเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ ผู้พิพากษา ทหาร ตำรวจ พ่อค้า นักธุรกิจ ประชาชน ฯลฯ ถ้าเราดี เก่ง มนุษยสัมพันธ์ดี โลกนี้เป็นของเรา แต่เราต้องจริงใจ อ่อนน้อมถ่อมตน เสมอต้นเสมอปลาย ช่วยทุกๆ คน จน รวย ไม่ว่ามีชั้นวรรณะอะไร
ผมจึงค่อยๆ สอนนอกเหนือวิชาการในประเด็นอื่นๆ ด้วย แต่หลักๆ คือ หนึ่ง สอนทุกอย่างเกี่ยวกับการเรียนรู้ การศึกษาตลอดชีวิต ให้พร้อมเท่าที่จะพร้อมได้สำหรับโลกภายนอก สอนให้จับประเด็นเป็น สรุปเป็น เรียนภาษาอังกฤษ ไทย จีน ญี่ปุ่น รวมทั้งส่งลูกไปนอกตอนช่วงหยุดยาวหน้าร้อนด้วย ตอนลูกอายุ 10 ขวบ!!! จะได้ภาษาที่ดี จะได้มีโอกาสเข้ามหาวิทยาลัยในประเทศไทยได้ดียิ่งขึ้น บางวิชา “ซื้อ” ได้ เช่น ภาษาอังกฤษ ถ้าลูกไปอยู่อังกฤษ 2 เดือนทุกปี อีกหน่อยสอบวิชาภาษาอังกฤษก็อาจได้คะแนน 90/100 ก็จะมีแต้มมากกว่านักเรียนคนอื่นอีกมาก โอกาสก็จะดีขึ้น
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี