เด็กและเยาวชนคือต้นทุนทางสังคมที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งของประเทศชาติ ประเทศใดก็ตามที่มีต้นทุนสังคมนี้ดีประเทศนั้นก็จะสามารถพัฒนาให้เจริญก้าวหน้าได้ในอนาคต
คณะกรรมาธิการการสังคม เด็กเยาวชน สตรี ผู้สูงอายุคนพิการ และผู้ด้อยโอกาสสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ดำเนินการพิจารณาศึกษาในประเด็นด้านเด็กและเยาวชน โดยได้หยิบยกรายงาน “การพัฒนาเด็กและเยาวชน ประจำปี พ.ศ. 2559” โดยได้เชิญ ผู้วิจัยจากสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล เข้าร่วมประชุม และสามารถรวบรวมรายละเอียดที่น่าสนใจ ดังนี้
รายงาน“การพัฒนาเด็กและเยาวชน”ซึ่งจัดทำขึ้นตามบทบัญญัติที่ปรากฏในพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ พ.ศ. 2550 มาตรา 20 ที่กำหนดให้กรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ทำหน้าที่ในการจัดทำรายงานการพัฒนาเด็กและเยาวชนเป็นประจำทุกปี
รายงานฉบับปี พ.ศ.2559 มีเป้าหมายอย่างสำคัญในการนำเสนอภาพรวมของสถานการณ์เด็กและเยาวชนทุกช่วงวัย ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 25 ปี โดยสถานการณ์ดังกล่าวรวบรวมสิ่งที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ.2559 เป็นหลัก และได้มีการพยายามเทียบให้เห็นความเปลี่ยนแปลงระหว่างปี พ.ศ. 2557 –2559 ในประเด็นที่มีการเก็บข้อมูลต่อเนื่อง ทั้งนี้จากข้อมูลประชากรเด็กและเยาวชนระหว่างอายุ 0-25 ปี ในปี พ.ศ. 2559 พบว่า มีจำนวนรวมประชากร 21,531,806 คน ซึ่งลดจำนวนลงจากปี พ.ศ.2558อยู่ 281,527 คน โดยในปี พ.ศ.2559 มีการเกิดขึ้นของการทำงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเด็กตั้งแต่มีพระราชบัญญัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น นโยบายและยุทธศาสตร์ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงต่อเด็กและเยาวชน การร่างยุทธศาสตร์ส่งเสริมและปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนในการใช้สื่อออนไลน์ พ.ศ.2560-2564 มีมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทะเลาะวิวาทของนักเรียนและนักศึกษาและการแก้ไขปรับปรุงมาตรฐานการดำเนินงานศูนย์พัฒนาเด็กเล็กขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แผนบูรณาการตลอดช่วงวัยคณะทำงานชุมชนคุ้มครองเด็ก และโครงการต่อเนื่อง เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด
สถานการณ์เด็กและเยาวชนในปี พ.ศ. 2559 มีทั้งประเด็นที่ต่อเนื่องในการเก็บข้อมูลตามหน่วยงานที่รับผิดชอบ และประเด็นที่เกิดขึ้นเฉพาะในปี พ.ศ. 2559 โดยภาพรวมสำคัญๆ ตามช่วงวัยดังนี้
สถานการณ์ภาพรวมในช่วงปฏิสนธิ-2 ปี มีประเด็นดังนี้
1.ร้อยละหญิงตั้งครรภ์ได้รับการฝากครรภ์ครั้งแรกก่อนหรือเท่ากับ 12 สัปดาห์ ทั้งประเทศ พบว่า มีแนวโน้มที่ดีขึ้นในทุกๆ ปี โดยพบร้อยละ 53.16, 56.69 และ 62.23 ในปี พ.ศ.2557, 2558 และ 2559 ตามลำดับและหญิงตั้งครรภ์ได้รับการตรวจสุขภาพช่องปากเพิ่มขึ้นคือ ร้อยละ 23.9 และ 38.7 ในปี พ.ศ. 2558 และ 2559 ตามลำดับ (ที่มา: ข้อมูลรายงาน HDC สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข)
2.อัตราตายทารกแรกเกิด อายุ≤28 วัน ในปี พ.ศ. 2559 พบในอัตรา 3.94 ต่อทารกเกิดมีชีพ 1,000 คน
3.อัตราส่วนการตายมารดาต่อการเกิดมีชีพแสนคนในปี พ.ศ. 2557-2559 พบอัตราส่วน 23.3, 24.6 และ 26.6ตามลำดับ (ที่มา: ข้อมูลรายงาน HDC สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข)
4.ร้อยละของเด็กแรกเกิด–ต่ำกว่า 6 เดือน กินนมแม่อย่างเดียว พบว่ายังมีการขึ้นๆ ลงๆ ของสถานการณ์ โดยพบร้อยละ54.92, 67.21 และ 62.10 ในปี พ.ศ. 2557-2559 ตามลำดับ(ที่มา: ข้อมูลรายงานHDC สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข)
5.ไอโอดีน พบว่า ในปี พ.ศ.2557-2559 หญิงตั้งครรภ์ได้รับยาเม็ดเสริมไอโอดีนตามปีงบประมาณอย่างต่อเนื่อง โดยพบร้อยละ 56.7, 63.5 และ 70.7 ตามลำดับ (ที่มา: ข้อมูลรายงานHDC สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข)
6.ทารกแรกเกิดน้ำหนักน้อยกว่า 2,500 กรัม พบว่า อยู่ในอัตราใกล้เคียงกันทุกๆ ปี คือ ร้อยละ 10.4, 10.6 และ 11.1ในปี พ.ศ. 2557-2559 (ที่มา: ข้อมูลรายงาน HDC สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข)
7.ร้อยละของเด็กอายุ 12-23 เดือน ที่ได้รับวัคซีนครบตามคำแนะนำในตารางการฉีดวัคซีนของประเทศ พบร้อยละ 71.6ในปี พ.ศ. 2559
8.จำนวนเด็กที่ได้รับเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด ในปี พ.ศ. 2559 มีผู้ลงทะเบียน จำนวน 154,855 คน คิดเป็นร้อยละ 120.98 ของเป้าหมาย (128,000 คน) ณ 30 กันยายน 2559
สถานการณ์ช่วงปฏิสนธิ-2 ปี พบว่า โดยภาพรวมดีขึ้นโดยลำดับ ร้อยละของหญิงตั้งครรภ์ ที่ได้รับการฝากครรภ์ในเวลาที่เหมาะสมดีขึ้น อัตราส่วนการตายมารดาลดลง ส่วนสถานการณ์ทารกแรกเกิดที่ได้รับประทานนมแม่อย่างเดียวอาจจะขึ้นๆ ลงๆ แต่โดยรวมตัวเลขยังไม่ตกลงไป เป็นที่น่าสนใจว่าข้อมูลเด็กที่ได้รับเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดมีการจดทะเบียนถึง 107,496 คนคิดเป็นร้อยละ 83.98 ของเด็กแรกเกิดทั้งหมด ซึ่งเป็นตัวเลขที่ดี สะท้อนถึงความจริงใจในการสร้างจุดตั้งต้นที่เท่าเทียมกันให้กับเด็กทุกคน
สถานการณ์ในช่วงเด็กปฐมวัย 3-5 ปี มีประเด็นดังนี้
1.พัฒนาการสมวัย (สมวัยครั้งที่ 1 + สมวัยหลังกระตุ้นภายใน 30 วัน) ในปี พ.ศ.2558 เป็นต้นมากรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขได้เปลี่ยนคู่มือในการประเมินพัฒนาการจากอนามัย 55
เป็นคู่มือเฝ้าระวังและส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัย (DSPM)ผลการคัดกรองในช่วงอายุ 42 เดือน พบเด็กมีพัฒนาการสมวัยในปี พ.ศ.2558-2560 ร้อยละ 93.2 ,95.9 และ 95.9 ตามลำดับ สำหรับการสำรวจพัฒนาการด้วยเครื่องมือ Denver II ทุก 3 ปี ในปี พ.ศ.2557 พบว่า เด็กมีพัฒนาการสงสัยล่าช้าร้อยละ 27.5พัฒนาการสมวัย (ครั้งที่ 1) ร้อยละ 72.5
(พัฒนาการสมวัย หมายถึง เด็กใน 4 ช่วงอายุ (9 เดือน18 เดือน 30 เดือน 42 เดือน) ได้รับตรวจคัดกรองพัฒนาการโดยใช้ DSPM แล้วผลการตรวจคัดกรองผ่านครบ 5 ด้าน รวมกับเด็กที่พบพัฒนาการสงสัยล่าช้าและได้รับการติดตาม และประเมินซ้ำแล้วผลการประเมิน ผ่านครบ 5 ด้าน ภายใน 30 วัน)
2.พบเด็กอายุ 3 ปี ปราศจากฟันผุ ร้อยละ 47,51.1 และ 48.5 ในปี พ.ศ.2557-2559 ตามลำดับ ซึ่งโดยภาพรวมสถานการณ์ในเด็กอายุ 3 ปี มีแนวโน้มที่ดีขึ้น แต่หากเทียบกับเด็กอายุ 18 เดือน ซึ่งมีจำนวนร้อยละปราศจากฟันผุสูงถึงร้อยละ 91.55, 92.93 และ 94.06 ในปี พ.ศ. 2557-2559ตามลำดับ จะเห็นได้ว่าช่วงอายุ 3 ปี มีร้อยละเด็กปราศจากฟันผุเพียงครึ่งหนึ่งจากช่วงอายุ 18 เดือน จึงถือได้ว่า ช่วงอายุ 18 เดือนถึง 3 ปี เป็นช่วงเวลาที่มีการเกิดโรคฟันผุเพิ่มมากขึ้นอย่างชัดเจน
3.การเจริญเติบโตของเด็กปฐมวัยในปี พ.ศ.2558-2559 พบเด็กอายุ 0-5 ปีสูงดีสมส่วน ร้อยละ 46.3 และ 47.3 ตามลำดับซึ่งนับว่ามีแนวโน้มที่ดีขึ้น (ที่มา: ข้อมูลรายงาน HDC สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข)
4.ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สถานการณ์โรคมือเท้าปากพบผู้ป่วยจำนวน 39,948 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 61.34 ต่อแสนประชากร ในปี พ.ศ. 2558 และในปี พ.ศ. 2559 พบผู้ป่วยจำนวน 79,854 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 122.05 ต่อแสนประชากร ซึ่งพบจำนวนผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นประมาณ 1 เท่าในระยะเวลา 1 ปี
ข้อมูลในช่วงเด็กปฐมวัย 3-5 ปี ข้อมูลที่พบค่อนข้างสม่ำเสมอ คือ พัฒนาการและข้อมูลด้านฟันผุส่วนข้อมูลอื่นๆจะมีบ้าง แต่ไม่สม่ำเสมอ เช่น ข้อมูลการอ่าน ข้อมูลการเจ็บป่วยในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก และข้อมูลว่าด้วยเรื่องการอบรมการเลี้ยงดูเด็กโดยไม่ใช้ความรุนแรง
สถานการณ์ในช่วงเด็กวัย 6 –12 ปี มีประเด็นที่สำคัญดังนี้
1.พัฒนาการทางสติปัญญา (IQ)ในปี พ.ศ. 2559พบค่าเฉลี่ยของระดับสติปัญญาเด็กไทยอยู่ที่ร้อยละ 98.23
2.การเจริญเติบโตของเด็กวัยเรียน ในปี พ.ศ. 2558 พบเกณฑ์สูงดี สมส่วน ร้อยละ 62.6 (จำนวน 1,416,480 คน)และในปี พ.ศ. 2559 มีเด็กอายุ 6-14 ปี สูงดีสมส่วน ร้อยละ 64.2และอ้วน ร้อยละ 13.1 นับว่าสถานการณ์ของเด็กวัยเรียนสูงดีสมส่วนคงที่ และพบร้อยละ 77.1 ของเด็กไทยมีความฉลาดทางอารมณ์อยู่ในเกณฑ์ปกติขึ้นไป เด็กนักเรียนมีภาวะเริ่มอ้วนและอ้วนพบว่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นสูงขึ้นทุกปี โดยพบร้อยละ 8.8, 9.5 และ13.1 ในปี พ.ศ. 2557-2559 (ที่มา : รายงานของสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข (HDC) ปีพ.ศ. 2558และ 2559)
3.การศึกษา ในปี พ.ศ. 2559 ความพร้อมในการเข้าโรงเรียน โดยเด็กในชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้เข้าเรียนในหลักสูตรปฐมวัยในปีที่แล้ว พบร้อยละ 98.7
4.ความปลอดภัยในสถานรับเลี้ยงเด็ก ในปี พ.ศ. 2559เกิดเหตุไฟไหม้ ภายในหอพักนักเรียนหญิงมีนักเรียนหญิงเสียชีวิตจำนวน 17 คน บาดเจ็บ 5 คน
5.ความเจ็บป่วย มีสถิติการพบเด็กเจ็บป่วยฉุกเฉินลดน้อยลง โดยข้อมูลที่พบมีแนวโน้มดีขึ้นมาก โดยในปี พ.ศ. 2557 มีเด็กเจ็บป่วยฉุกเฉินทั้งสิ้น 1,249,180 คน และในปี พ.ศ. 2559
มีเด็กเจ็บป่วยฉุกเฉินทั้งสิ้น 156,525 คน
6.อัตราการเสียชีวิตจากการจมน้ำของเด็กอายุต่ำกว่า15 ปี ข้อมูลไม่คงที่ โดยในปี พ.ศ. 2557-2559 พบอัตรา0.70, 0.57 และ 0.94 ซึ่งในปี พ.ศ. 2559 เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา
เด็กช่วงวัย 6-12 ปี ซึ่งเป็นช่วงวัยเรียน ดูเหมือนว่าข้อมูลระดับชาติจะให้น้ำหนักไปที่พัฒนาการด้านสติปัญญา (IQ) และการเจริญเติบโตทางกาย ความเจ็บป่วย การจมน้ำ เป็นต้น ข้อมูลในด้านต่างๆ อาทิ ด้านการศึกษาจะมีเฉพาะเรื่องความพร้อมในการเข้าเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ส่วนข้อมูลด้านอื่นๆ โดยเฉพาะด้านที่จับต้องได้ยาก เช่น ด้านคุณธรรม ด้านความรับผิดชอบ ข้อมูลครอบครัว ฯลฯ ล้วนไม่พบในช่วงวัยนี้
(อ่านต่อฉบับหน้า)
สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ถนนอู่ทองใน ดุสิต กทม. 10300 email : dek_senate@hotmail.co.th หรือ Facebook: กมธ.พัฒนาสังคมหรือ กลุ่มงานคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและกิจการเด็กฯ วุฒิสภา โทร.02-831-9225-6 แฟกซ์ 02-831-9226
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี