ความดันโลหิต คือความแรงของหัวใจที่บีบตัวส่งเลือดซึ่งประกอบไปด้วยสารอาหารและออกซิเจนไปเลี้ยงทั่วร่างกาย ความดันโลหิต (blood pressure, BP) มี 2 ระดับ ระดับบนเรียกว่า systolic blood pressure ระดับล่างเรียกว่า diastolic ค่าปกติของผู้ใหญ่ธรรมดาควรอยู่ที่ systolic 120 และ diastolic 80 โดยแพทย์มักจะเขียนว่า BP 120/80
เมื่อไหร่จึงจะเรียกว่าความดันโลหิตสูง จนกระทั่งเร็วๆ นี้ ค่าปกติควรอยู่ที่ 140/90 คือ systolic สูงไม่เกิน 140 มม.ปรอท ส่วน diastolic สูงไม่เกิน 90 แต่ถ้าต่ำกว่านี้ได้ก็ยิ่งดี คือตั้งแต่ systolic 110-130 diastolic 70-80
ความดันโลหิตสูงถ้าเป็นนานๆ จะนำโรคต่างๆ มามากมาย อาทิ โรคหลอดเลือดตีบทั่วร่างกาย โดยเฉพาะที่หัวใจและสมอง ที่สมอง ความดันโลหิตสูงยังอาจทำให้มีเลือดออกในสมองได้ นอกจากนั้นความดันโลหิตสูงยังทำให้เป็นโรคไตวาย ฯลฯ อีกด้วย ฉะนั้นผู้ใดที่มีความดันโลหิตสูงควรได้รับการดูแล รักษา โดยแพทย์อย่างใกล้ชิด คนไทยมีผู้ที่มีความดันโลหิตสูง (140/90 ขึ้นไป) ประมาณ 11 ล้านคน และประมาณครึ่งหนึ่งของจำนวนนี้ยังได้รับการรักษาที่ไม่ดีพอ
เนื่องจากความดันโลหิตสูงมักไม่มีอาการ ไม่จำเป็นต้องปวดหัว หรือมีเลือดกำเดาออก ผมจึงอยากแนะนำให้ทุกๆ คนวัดความดันตั้งแต่อายุ 20 ปีโดยประมาณ ถ้าวัดเองที่บ้านและพบว่ามีความดันโลหิตสูง ควรไปพบแพทย์เพื่อดูว่าความดันโลหิตสูงจริงไหม สูงเท่าไหร่ ควรได้รับการรักษาทันทีหรือไม่ เช่น ถ้ามีความดันโลหิตสูงที่ 145/90 แต่อ้วน แพทย์อาจพยายามให้เราลดน้ำหนัก ด้วยการออกกำลังกายและคุมอาหารก่อน (ทั้งนี้ตั้งแต่เยาว์วัย ทั้งๆ ที่สบายดี ควรดูแลตนเองให้ไม่อ้วนด้วย 2 วิธีนี้อยู่แล้ว) ถ้าความดันโลหิตสูงมากๆ แพทย์อาจเริ่มให้ยาเลย รวมทั้งให้ออกกำลังกายและคุมอาหารร่วมกันไปเลย ปัจจุบันนี้ ทุกบ้านควรมีที่วัดความดันแบบ digital ซึ่งมีราคาเพียง2,000 บาท ควรวัดความดัน หลังจากได้นั่งพักสบายๆ แล้ว 10 นาที ควรวัดอย่างน้อย 2 ครั้ง ถ้ามีความดันโลหิตสูงและได้ยามารับประทานแล้ว ควรวัดความดันโลหิตในช่วงเวลาที่แตกต่างกันไป เช่น วันนี้วัดตอนตื่น อีกวันวัดตอนสาย อีกวันวัดตอนบ่าย อีกวันวัดตอนค่ำ อีกวันวัดตอนก่อนนอน ฯลฯจะได้ทราบว่า ยาที่แพทย์สั่งนั้น ครอบคลุมดูแลความดันได้ทั้ง 24 ชั่วโมงหรือไม่ เครื่องวัดความดันที่บ้านควรนำไปเปรียบเทียบกับเครื่องวัดความดันที่โรงพยาบาลด้วย จะได้ทราบว่าได้มาตรฐานหรือไม่
เมื่อแพทย์พบว่าเรามีความดันโลหิตสูง แพทย์จะพยายามตรวจหาสาเหตุ ส่วนใหญ่แล้ว 90% จะไม่มีสาเหตุ แพทย์จะต้องซักประวัติ ตรวจร่างกาย ตรวจทางห้องแล็บเพิ่มเติม การตรวจร่างกายจะดูว่าหัวใจมีภาวะแทรกซ้อนหรือไม่ หัวใจโตไหม มีภาวะแทรกซ้อนที่ตาไหม ที่ไตไหม เพราะความดันโลหิตสูงมีผลต่อหลอดเลือดทั่วร่างกาย ซึ่งจะนำผลมาสู่โรคหัวใจ ตา ไต ฯลฯ ฉะนั้นแพทย์อาจสั่งตรวจเพิ่มเติม เช่น ตรวจปัสสาวะ ดูไข่ขาว(โปรตีน) ตรวจเลือดดูของเสีย คือ BUN, Cr. ซึ่งถ้าเป็นโรคไต(ค่อนข้างมากแล้ว) 2 ตัวนี้จะสูงขึ้น ดูว่าหัวใจโตไหมจากการตรวจร่างกาย และเอกซเรย์ปอด ทำกราฟหัวใจ(ECG-electrocardiogram) จากการดูตา แพทย์จะสามารถมองเห็นหลอดเลือดในตา(เป็นที่เดียวที่เราเห็นหลอดเลือดได้)ว่ามีอาการแสดงที่บ่งบอกถึงการเป็นโรคความดันโลหิตสูงระดับไหนหรือไม่ (ระดับต่างๆ ของ Hypertensive Retinopathy) ฯลฯ
ถ้ามีความดันสูงจริง และแพทย์เริ่มให้ยาลดความดันแล้ว เราควรไปพบแพทย์ตามนัด ไม่ควรรับประทานยาชนิดเดียว ขนาดเดิม ตลอดไป (ถึงแม้เราจะรู้จักชื่อยาและขนาดที่รับประทาน) ควรจดและจำชื่อ ขนาดยาไว้ด้วย การที่เราได้รับยาลดความดันโลหิต ถึงแม้จะเป็นยาที่ถูกต้อง เหมาะสมกับเรา แต่ขนาดของยาอาจจะยังไม่สูงพอ แพทย์จึงมักนัดพบกับเราในระยะเริ่มแรก ทุก 1-2 สัปดาห์ ถ้าความดันไม่ลดลงสู่ระดับที่แพทย์พอใจ แพทย์จะค่อยๆเพิ่มยาทุก 1-2 สัปดาห์ จนความดันโลหิตลงมาสู่ระดับที่แพทย์พอใจ หรือถ้าให้ยาในปริมาณที่เหมาะสมแล้ว แต่ความดันโลหิตยังไม่ลงสู่ระดับที่แพทย์พอใจ แพทย์อาจเพิ่มยาอีกชนิดหนึ่งให้ เมื่อความดันอยู่ในระดับที่แพทย์พอใจเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว แพทย์อาจนัดพบเพียงทุก 3 เดือน ทั้งนี้ไม่ว่าอ้วนหรือไม่ เราควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกายที่ดีต่อสุขภาพ หรือที่ดีต่อหัวใจ ปอด ระดับหมุนเวียนโลหิต คือ การออกกำลังด้วยการเดิน วิ่ง ว่ายน้ำ ถีบจักรยาน เต้นแอโรบิก ฯลฯ ครั้งละ 30-60 นาที 5 ครั้ง/สัปดาห์ การออกกำลังกายแบบนี้จะสามารถลดความดันทั้ง systolic และ diastolic ได้ประมาณระดับละ5-10 มม.ปรอท และถ้าคุมอาหารด้วยการรับประทานพืช ผัก ผลไม้เป็นหลัก ข้าวบ้าง หลีกเลี่ยงน้ำหวาน น้ำตาล (ไม่เกิน 6 ช้อนชา/วัน) น้ำมัน(พืช) ไม่เกิน 6 ช้อนชา/วัน และเกลือ (sodium, Na, ไม่เกิน 2,000 มก./วัน ซึ่งก็คือเกลือแกง 1 ช้อนชาหรือ 5 กรัม หรือน้ำปลา 3 ช้อนชา/วัน) การรับประทานอาหารที่เค็มจะเป็นสาเหตุที่สำคัญของการเป็นโรคความดันโลหิตสูง ฉะนั้นต้องไม่รับประทานเค็ม ต้องไม่อ้วน และต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
ถ้าทราบว่าตนเองมีความดันสูง (หรือไม่ทราบก็ตาม) แต่นอนกรน ควรพบแพทย์เพื่อดูว่าเรานอนกรนและหยุดหายใจหรือไม่ ผู้ที่นอนกรนและหยุดหายใจอาจมีความดันโลหิตสูงได้ ซึ่งถ้ารักษาอาการกรนที่หยุดหายใจได้ ความดันอาจกลับมาปกติ ผู้ที่นอนกรนและหยุดหายใจ อาจมีโอกาสเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ สมองตีบและอุดตัน โรคสมองเสื่อม ฯลฯ
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี