สืบเนื่องจากโครงสร้างประชากรไทยมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง อัตราการเกิดที่ลดลงอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ผู้สูงอายุมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น จากข้อมูลการสำรวจประชากรสูงอายุในประเทศไทย ปี พ.ศ.๒๕๖๐ ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า ผู้สูงอายุมีจำนวน ๑๑,๓๑๒,๔๔๗ คน และในปีพ.ศ.๒๕๖๔ ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ หรือสังคมที่มีประชากรอายุ ๖๐ ปีขึ้นไป ในอัตราเท่ากับหรือมากกว่าร้อยละ ๒๐ ขึ้นไป ประกอบกับรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐบาลที่อยู่ในช่วง Thailand ๔.๐ เป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อให้ได้ผลตอบแทนมหาศาล โดยการนำความคิดสร้างสรรค์เป็นแรงผลักดัน
สถานการณ์ดังกล่าวข้างต้นผู้สูงอายุต้องเรียนรู้และนำเทคโนโลยีมาใช้ประโยชน์สำหรับการติดต่อสื่อสารและการอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันที่มีความปลอดภัยการวางแผนการเตรียมความพร้อมเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ที่มีประสิทธิภาพ และการส่งเสริมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการดูแลและพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาในระยะยาวทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมผู้สูงอายุของประเทศ ซึ่งการขับเคลื่อนการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลภายใต้นโยบาย Thailand ๔.๐ เพื่อก้าวไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูง มีความเจริญ มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน รัฐบาลต้องพัฒนาประเทศไปโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development
Goals-SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ
คณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและกิจการ เด็กเยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส สภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยคณะอนุกรรมาธิการกิจการผู้สูงอายุ กรมกิจการผู้สูงอายุกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และสมาคมสภาผู้สูงอายุแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการเตรียมความพร้อมเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ และ “ผู้สูงอายุ” ให้เป็นปูชนียบุคคลของประเทศที่ทรงวัยวุฒิมีองค์ความรู้ ภูมิปัญญา มีคุณค่าและศักยภาพที่จะมีส่วนร่วมทำคุณประโยชน์ให้แก่สังคมและประเทศชาติ และดำรงตนไว้ซึ่งคุณธรรมความดีงามเป็นแบบอย่างแก่ลูกหลาน มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๒๕ จึงได้กำหนดให้วันที่ ๑๓ เมษายน ของทุกปี เป็น “วันผู้สูงอายุแห่งชาติ”คณะกรรมาธิการจึงได้ร่วมกับหน่วยงานดังกล่าว จัดการเสวนาเรื่อง “สังคมผู้สูงอายุในยุคไทยแลนด์ ๔.๐” ขึ้น เพื่อให้รัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และผู้สูงอายุ ได้ให้ความสำคัญกับการกำหนดมาตรการในการสร้างระบบการดูแล ช่วยเหลือ คุ้มครอง พัฒนาคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจผู้สูงอายุ การบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานต่างๆ ดังกล่าว และกำหนดให้ “สังคมผู้สูงอายุเป็นระเบียบวาระแห่งชาติ”
สังคมผู้สูงอายุเป็นเรื่องที่ทุกภาคส่วนกล่าวถึงแต่ไม่ได้ให้ความสำคัญเท่าที่ควร ถ้าทุกภาคส่วนได้ให้ความสำคัญจะสามารถช่วยลดภาระของประเทศในอนาคต ประเทศไทยได้นำนโยบาย Thailand ๔.๐ และยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี เป็นแนวทางในการขับเคลื่อนประเทศ โดยมีสิ่งที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ โครงสร้างประเทศ เศรษฐกิจ นวัตกรรมและคน ซึ่งคนเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะช่วย
ขับเคลื่อนให้นโยบาย Thailand ๔.๐ และยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี ประสบความสำเร็จและมีความเจริญก้าวหน้า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญในการเตรียมและพัฒนาคนในทุกช่วงวัย แต่หน่วยงานและ
ภาคส่วนต่างๆ ยังขาดความเข้าใจในบทบาทและการมีส่วนร่วมในระดับปฏิบัติ ทุกภาคส่วนทั้งภาคประชาสังคม ภาคราชการ ภาคเอกชน ครอบครัวและชุมชนต้องร่วมขับเคลื่อน การเตรียมความพร้อม การรับมือกับสังคมผู้สูงอายุ การให้ความสำคัญกับโครงสร้างของประชากรทั้งในวัยเด็ก วัยแรงงานและวัยสูงอายุ และต้องมีฐานข้อมูลที่ครบถ้วนรอบด้าน เพื่อการวางแผนการทำงานรองรับอนาคตและให้ประชาชนมีความมั่งคั่ง มั่นคง มีความสมบูรณ์ของสุขภาพกาย สุขภาพจิต และคุณภาพชีวิตที่ดี ตั้งแต่ก่อนเข้าสู่วัยสูงอายุ
ปีพ.ศ.๒๕๕๑ มีผู้สูงอายุร้อยละ ๑๐ ของประชากรทั้งประเทศ ปี พ.ศ.๒๕๕๘ มีผู้สูงอายุร้อยละ ๑๔ ของประชากรทั้งประเทศ และในปี พ.ศ.๒๕๗๔ มีผู้สูงอายุร้อยละ ๓๐ ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งนับว่ามีจำนวนมาก ดังนั้น การส่งเสริมการผลิตประชากรที่มีคุณภาพเพื่อให้มีแรงงานคุณภาพในอนาคตอีก ๒๐ ปี ข้างหน้า ในขณะที่มีผู้สูงอายุมากขึ้น จึงเป็นเรื่องที่สำคัญ เนื่องจาก ๑๐ ปี ที่ผ่านมามีเด็กเกิดเฉลี่ย ๘๐๐,๐๐๐ คน ปัจจุบันมีเพียง ๗๐,๐๐๐ คน ต่อปี แต่เด็กมีความฉลาดและคุณภาพที่ลดลงเนื่องจากเป็นเด็กที่เกิดจาก พ่อแม่ไม่มีความพร้อมในการดูและการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควรของเด็กและเยาวชนไทย ย่อมส่งผลกระทบกับทรัพยากรมนุษย์ในอนาคตและนโยบาย Thailand ๔.๐
นอกจากนี้ จากสถานการณ์ประชากรดังกล่าวข้างต้น ส่งผลให้แรงงานที่มีหน้าที่จ่ายภาษีมีจำนวนลดลง ผู้สูงอายุที่ไม่สามารถจ่ายภาษีมีจำนวนมากขึ้น ทำให้รายได้ของรัฐลดน้อยลงในขณะที่ค่าใช้จ่ายด้านการดูแลรักษาพยาบาลสุขภาพของประชากรทั้งในวัยสูงอายุและวัยอื่นๆ มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นการผลิตอาหารและสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ จะต้องปรับเปลี่ยนไปตามโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนแปลงดังกล่าว
ปัจจุบันผู้สูงอายุส่วนใหญ่พึ่งพารายได้จากบุตรและเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเป็นหลัก มีส่วนน้อยที่ประกอบอาชีพหารายได้และมีการออมทรัพย์จำนวนน้อย ขณะเดียวกันยังคงมีปัญหาผู้สูงอายุ
ถูกกระทำด้วยความรุนแรง และถูกทอดทิ้ง รวมถึงไม่สามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุขและบริการอื่นๆ ของภาครัฐได้อย่างทั่วถึงส่งผลต่อความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ รัฐบาลควรทำงานเชิงรุกให้มากขึ้น การแก้ไขปัญหาจึงเป็นประเด็นที่รัฐบาลให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ โดยการวางนโยบาย การสร้างความมั่นคง และหลักประกันให้แก่ผู้สูงอายุครอบคลุม ๔ มิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สุขภาพ และสภาพแวดล้อม กำหนดมาตรการต่างๆ เพื่อส่งเสริมให้ผู้สูงอายุสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคม มีคุณภาพชีวิตที่ดี และมีคุณค่าต่อสังคมเมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเกี่ยวกับมาตรการรองรับสังคมผู้สูงอายุ ดังนี้
๑.มาตรการการจ้างงานผู้สูงอายุ โดยการยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วน นิติบุคคลที่ได้จ้างงานผู้สูงอายุที่มีอายุ ๖๐ ปีบริบูรณ์ขึ้นไป เข้าทำงาน
๒.มาตรการการสร้างที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุ (Senior Complex) โดยให้กระทรวงการคลังหารือร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น การนำที่ราชพัสดุมาสร้างที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุ การสร้างที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุบนพื้นที่อื่นที่ให้นำหลักการของโครงการบ้านมั่นคงและบ้านประชารัฐมาใช้ และการให้ภาคเอกชนเข้ามาร่วมดำเนินการด้วย
๓.มาตรการสินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ (Reverse Mortgage) เพื่อให้ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ ๖๐-๘๐ ปี ที่มีบ้านเป็นของตนเองนำบ้านดังกล่าวมาจำนองกับธนาคาร โดยให้กู้สูงสุดไม่เกินรายละ ๑๐ ล้านบาท โดยรัฐบาลได้ดำเนินนโยบายสินเชื่อดังกล่าวผ่านทางธนาคารรัฐ ๒ แห่ง คือ ธนาคารออมสินและธนาคารอาคารสงเคราะห์
๔.การบูรณาการระบบบำเหน็จบำนาญ ให้เป็นบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ และกฎหมายว่าด้วยกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ (กบช.) เพื่อเป็นกองทุนสำรองเลี้ยงชีพภาคบังคับ ครอบคลุมลูกจ้างทั้งระบบทั้งภาคเอกชน ภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และแรงงานที่อยู่ในระบบบำเหน็จบำนาญอื่น โดยมีนายกรัฐมนตรี เป็นประธานกองทุน เพื่อให้มีระบบการออมเพื่อการดำรงชีพยามชราภาพเพียงพอหลังเกษียณ
ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ผู้สูงอายุแห่งชาติ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๑ ได้กล่าวว่า “ผู้สูงอายุต้องอยู่อย่างสง่าและตายอย่างสงบ”ดังนั้น ผู้สูงอายุในยุค Thailand ๔.๐ ต้องมีสุขภาพดีทั้งกายและใจ และอยู่อย่างมีคุณค่าต่อสังคม
โดยวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๖๑ กรมกิจการผู้สูงอายุ ได้จัดประชุมเชิงปฏิบัติการขับเคลื่อนนโยบายเตรียมความพร้อมรองรับผู้สูงอายุ มีผู้แทนหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน เข้าร่วมประชุมและที่ประชุมได้กำหนดแนวทางในการขับเคลื่อนงานในปี พ.ศ.๒๕๖๑ จำนวน ๑๐ เรื่อง ได้แก่ ๑) กำหนดให้เรื่องผู้สูงอายุเป็นวาระแห่งชาติ ๒) การทำงานและการสร้างรายได้สำหรับผู้สูงอายุ ๓) การปรับสภาพแวดล้อมชุมชนและ เมืองให้เป็นมิตรกับผู้สูงอายุ ๔) มีฐานข้อมูลที่ดี ผู้สูงอายุสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย ๕) การสร้างระบบคุ้มครอง และสวัสดิการผู้สูงอายุ ๖) ระบบการดูแลระยะยาว ๗) แนวทางการในการปรับเปลี่ยนกฎหมาย ๘) นวัตกรรมรองรับสังคมผู้สูงวัย ๙) ประชาพิจารณ์ปรับนิยามผู้สูงอายุ และเรื่องธนาคารเวลา ๑๐) การปรับทัศนคติ สร้างความตระหนัก เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่ผู้สูงอายุในทุกมิติ
ในพื้นที่อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร และอำเภอเมืองจังหวัดลำพูน ได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ ดังนั้น จะได้มีการพัฒนาให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นสังคมผู้สูงอายุที่มีคุณภาพเพื่อให้เป็นต้นแบบ การดำเนินงานในพื้นที่อื่นต่อไป
สุดท้ายนี้ การกำหนดให้สังคมผู้สูงอายุเป็นระเบียบวาระแห่งชาติ เพื่อให้หน่วยงานต่างๆ อาทิ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ ท้องถิ่น ชุมชน และหน่วยงานองค์กรอื่น ต้องทำงานเรื่องผู้สูงอายุแบบบูรณาการร่วมกัน
(อ่านต่อสัปดาห์หน้า)
สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ถนนอู่ทองใน ดุสิต กทม. 10300 email : dek_senate@hotmail.co.th หรือ Facebook: กมธ.พัฒนาสังคม
หรือ กลุ่มงานคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและกิจการเด็กฯ วุฒิสภา โทร.02-831-9225-6 แฟกซ์ 02-831-9226
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี