โรคความดันโลหิตสูงมักเกิดขึ้นในกลุ่มอายุ 30-50 ปี และค่อยๆ เป็นมากขึ้น หลังจากเป็นโรคความดันโลหิตสูงได้ 10-20 ปี จะทำให้มีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นในอวัยวะต่างๆ เช่น หัวใจ ตา ไต สมอง ฯลฯ ข้อมูลของโรคความดันโลหิตสูงในประเทศไทยในปี ค.ศ.2011 จากประชาชน 6,769 คน พบว่ามีความชุกของโรคความดันโลหิตสูง 24.7% ในผู้ที่มีความดันโลหิตสูงทั้งหมดทราบว่ามีความดันโลหิตสูงเพียง 55.3% มีผู้ได้รับการรักษาเพียง 49.2% และการรักษาเข้าเป้าเพียง 29.7% ฉะนั้นเราต้องพยายามทำให้ประเทศไทยมีการตรวจวัดความดันโลหิตอย่างแพร่หลาย เช่น ขอความร่วมมือจากร้านค้า ห้างใหญ่ๆ หรือแม้แต่ 7-11 ซึ่งมีเป็นหมื่นร้านทั่วประเทศ ให้มีที่วัดความดันโลหิตอย่างได้มาตรฐาน เพื่อให้ประชาชนได้รับการวัดความดันโลหิตฟรี เมื่อผู้ใดทราบว่าตัวเองมีความดันโลหิตสูง ควรไปพบแพทย์เพื่อยืนยัน และเพื่อได้รับการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสม อย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะมีโรคแทรกซ้อนจากสภาวะความดันโลหิตสูง รวมทั้งได้รับการแนะนำที่ถูกต้อง เกี่ยวกับพฤติกรรมของการดำรงชีวิต เช่น การรับประทานอาหาร ไม่รับประทานเค็ม การออกกำลังกาย ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ ตรวจหาไขมัน น้ำตาลในเลือด ฯลฯ
จากการศึกษาของประชาชนในประเทศไทย (NHES5 2014-2015) พบว่า 48.4% ของผู้สูงอายุระหว่าง 60-69 ปีมีความดันโลหิตสูง ในกลุ่ม 70-79 ปี มีความดันโลหิตสูงถึง 56.8% และในกลุ่มที่มีอายุมากกว่า 80 ปี มีความดันโลหิตสูงถึง 64.9% หรือถ้ารวมทุกๆ คนที่มีอายุเกิน 15 ปีขึ้นไป มี 24.7% ของประชาชน จะมีความดันโลหิตสูง หรือ 1 ใน 4 !!! จากการศึกษานี้พบว่า 44.7% ของผู้ที่มีโรคความดันโลหิตสูงไม่ทราบมาก่อน 6.1% ได้รับการวินิจฉัยแต่ไม่ได้รับยา 49.2% ได้รับการวินิจฉัย และ 19.5% ความดันโลหิตยังไม่เข้าสู่ระดับปกติ มี 29.7% เท่านั้นที่ได้รับการรักษาและความดันอยู่ในระดับที่น่าพอใจ
ฉะนั้นเนื่องจากโรคความดันโลหิตสูงมีความสำคัญมาก จนถูกเรียกว่า “ฆาตกรเงียบ” หรือ “silent killer” เพราะเป็นสาเหตุที่ทำให้คนเสียชีวิตได้มากทั่วโลก ผมจึงอยากให้ทุกบ้านมีที่วัดความดันแบบ digital และวัดบ่อยๆ กันทุกๆ คนในบ้าน โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป ถ้าสูง ควรปรึกษาแพทย์และเอาเครื่องวัดความดันไปเปรียบเทียบกับเครื่องวัดความดันของโรงพยาบาลด้วย
จากองค์การอนามัยโลก ค.ศ.2012 พบว่า
1) โรคไม่ติดต่อเป็นสาเหตุการตายของชาวโลกถึง 68% หรือ 38 ล้านคน จาก 56 ล้านคน
2) 17.5 ล้านคนของโลกตายจากโรคหลอดเลือด หรือ 46% ของโรคที่ไม่ติดต่อ, 7.4 ล้านคน ตายจากโรคหลอดเลือดหัวใจ, 6.7 ล้านคน ตายจากโรคหลอดเลือดสมอง (อัมพฤกษ์ อัมพาต) ฯลฯ
3) 9.4 ล้านคนตายจากโรคความดันโลหิตสูง
4) 6 ล้านคน ตายจากบุหรี่ (6 แสนคนตายจากสูบบุหรี่มือ 2 คือคนอื่นที่อยู่ใกล้เราสูบ)
5) 1.7 ล้านคนที่ตายจากโรคหลอดเลือด ตายเพราะรับประทานเกลือมากเกินไป ควรรับประทานเพียง 2 กรัมของ sodium, Na หรือเท่ากับเกลือแกง 5 กรัม หรือน้ำปลา 3 ช้อนชา แต่รับประทานถึง 10 กรัม
6) 3.3 ล้านคนตายจากแอลกอฮอล์
7) 3.2 ล้านคนตายเพราะออกกำลังกายน้อยไป (น้อยกว่า 150 นาที/สัปดาห์)
ขอย้ำว่าปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดตีบและอุดตัน คือ 1) กรรมพันธุ์ 2) เพศชาย 3) อายุ 4) ความดันโลหิตสูง 5) เบาหวาน 6) สูบบุหรี่ 7) ไม่ออกกำลังกาย 8) อ้วน 9) ไขมันในเลือดสูง 10) สภาวะเครียด
ฉะนั้นนอกจากต้องดูแลเรื่องความดันโลหิตสูงแล้ว ยังควรดูแลพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ ตามข้างบนนี้ด้วย ควรการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งก็คือการเดิน วิ่ง ว่ายน้ำ ถีบจักรยาน เต้นแอโรบิก ครั้งละ 30-60 นาที สัปดาห์ละ 5 ครั้ง ควรตรวจหาระดับไขมัน น้ำตาล ในเลือด ไม่สูบบุหรี่ ดูแลตนเองไม่ให้อ้วน คือดัชนีมวลกายต่ำกว่า 23 พุงชายหญิงเล็กกว่า 90, 80 ซม. ตามลำดับ (ด้วยการคุมอาหารและออกกำลังกาย) และควรป้องกันความเครียดด้วยการออกกำลังกาย มีงานอดิเรก ฯลฯ
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี