(ต่อจากฉบับที่แล้ว)
การเสวนา เรื่อง “สังคมผู้สูงอายุในยุคไทยแลนด์ ๔.๐” โดย ๑.นางพิลาสลักษณ์ ยุคเกษมวงศ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ๒.นางธนาภรณ์ พรมสุวรรณ อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ ๓.รองศาสตราจารย์อาชัญญา รัตนอุบล หัวหน้าภาควิชาการศึกษาตลอดชีวิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ๔.นายแพทย์วิชัยโชควิวัฒน์ ประธานสมาคมสภาผู้สูงอายุแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ๕.นายแพทย์บรรลุ ศิริพานิช ประธานกรรมการมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย
โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
๑.สิทธิผู้สูงอายุตามพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. ๒๕๔๖ ผู้สูงอายุมีสิทธิได้รับการคุ้มครอง ส่งเสริมและสนับสนุนในด้านต่างๆ ประกอบด้วย
๑) การแพทย์และสาธารณสุข ๒) การศึกษา การศาสนา และข้อมูลข่าวสาร ๓) การประกอบอาชีพ ฝึกอาชีพที่เหมาะสม๔) การพัฒนาตนเองการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม การรวมกลุ่มในลักษณะเครือข่ายหรือชุมชน ๕) การอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยในอาคาร สถานที่ ยานพาหนะ บริการสาธารณะอื่น๖) การลดหย่อนค่าโดยสาร และการอำนวยความสะดวกในการเดินทาง๗) การยกเว้นค่าเข้าชมสถานที่ของรัฐ ๘) การช่วยเหลือผู้สูงอายุ ซึ่งได้รับอันตรายจากการถูกทารุณกรรม หรือถูกแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบด้วยกฎหมายหรือถูกทอดทิ้ง ๙) การให้คำแนะนำ ปรึกษา ดำเนินการอื่นที่เกี่ยวข้องในทางคดี และในทางแก้ไขปัญหาครอบครัว ๑๐) การช่วยเหลือที่พักอาศัย อาหารและเครื่องนุ่งห่มให้ตามความจำเป็นอย่างทั่วถึง ๑๑) การช่วยเหลือเงินเบี้ยยังชีพ ๑๒) การสงเคราะห์ การจัดการศพตามประเพณี ๑๓) การจัดบริการสถานที่ท่องเที่ยว การจัดกิจกรรมกีฬาและนันทนาการตามที่คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติประกาศกำหนด ๑๔) การจัดบริการเพื่ออำนวยความสะดวกด้านพิพิธภัณฑ์ โบราณสถาน หอจดหมายเหตุ และการจัดกิจกรรมด้านศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม ตามที่คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติประกาศกำหนด ๑๕) การปรับปรุงสภาพที่พักอาศัยให้มีความเหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุ ๑๖) ผู้อุปการะเลี้ยงดูบุพการีซึ่งเป็นผู้สูงอายุที่ไม่มีรายได้เพียงพอแก่การยังชีพ มีสิทธิได้รับการลดหย่อนภาษี ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนด ๑๗) เงินสงเคราะห์เพื่อการยังชีพสำหรับผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย ๑๘) การให้การสนับสนุนโครงการเพื่อส่งเสริมกิจกรรมผู้สูงอายุและการให้บริการกู้ยืมเงินทุนเพื่อประกอบอาชีพสำหรับผู้สูงอายุจากกองทุนผู้สูงอายุ
๒) การส่งเสริมสนับสนุนให้ชุมชนดูแลผู้สูงอายุที่บ้านเป็นหลักการดูแลผู้สูงอายุที่บ้าน การที่ผู้สูงอายุได้อาศัยอยู่ในชุมชนเดิมของตนเอง ทำให้ผู้สูงอายุมีความสุขที่ได้อยู่กับครอบครัว ลูกหลานเพื่อนบ้าน และสิ่งแวดล้อมที่ตนเองคุ้นเคย หากมีความจำเป็นควรจัดให้มีศูนย์ดูแลผู้สูงอายุในชุมชนหรือศูนย์ดูแลผู้สูงอายุในลักษณะที่มีรูปแบบเหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุ มีสิ่งอำนวยความสะดวก การจัดรถรับ-ส่ง ให้แก่ผู้สูงอายุได้ทำกิจกรรมต่างๆ และมีคุณภาพที่ดี รวมถึงมีความหลากหลายของศูนย์ดูแลผู้สูงอายุเพื่อให้ผู้สูงอายุและครอบครัวได้เลือกตัดสินใจตามสถานะการเงินของผู้สูงอายุและครอบครัวกระทรวงการคลังได้กำหนดมาตรการภาษีและการส่งเสริมด้านอื่นๆ เพื่อเชิญชวนให้เอกชนได้ลงทุนดำเนินโครงการสร้างที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุ นอกจากนี้กรมกิจการผู้สูงอายุได้วางแผนให้ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุ (ศพอส.) เป็นศูนย์การฝึกอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุและจัดทำเป็นศูนย์ดูแลผู้สูงอายุระหว่างวัน(Day Care) และดูแลผู้สูงอายุครอบคลุมทั้ง ๔ มิติ
๓) การดูแลด้านสุขภาพ มีโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า (๓๐ บาท รักษาทุกโรค) ที่เป็นประโยชน์และครอบคลุมประชาชนทุกคน เมื่อเจ็บป่วยเบื้องต้นให้รับการรักษาจากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลก่อนเข้าสู่ระบบการรักษาของโรงพยาบาลขนาดใหญ่ต่อไป ซึ่งระบบดังกล่าวรัฐสามารถควบคุมค่าใช้จ่าย ด้านสุขภาพได้ดีที่สุด เครื่องมือหรือยารักษาโรคต่างๆ ที่จะมาใช้กับระบบดังกล่าวจะมีการประเมินก่อนใช้ เพื่อพิจารณาความคุ้มค่า ความปลอดภัย และผลสำเร็จของเครื่องมือและยาดังกล่าว ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าสำหรับการดูแลผู้สูงอายุติดบ้านติดเตียง สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้กำหนดเป็นแผนยุทธศาสตร์เกี่ยวกับการดูแลผู้สูงอายุดังกล่าว ได้กำหนดรูปแบบการดูแลผู้สูงอายุโดยการส่งเสริมการดูแล ในชุมชนหรือบ้าน โดยถ้าไม่จำเป็นจะไม่ให้ผู้สูงอายุเข้าโรงพยาบาล ซึ่งใช้งบประมาณ ๖,๐๐๐ ล้านบาท/ปีจะสามารถสร้างงานให้ผู้ดูแลผู้สูงอายุได้ ๑๐๐,๐๐๐ คน เช่น อำเภอลำสนธิ จังหวัดลพบุรี มีการดำเนินงานที่ดีมาก
๔) การสร้างหลักประกันรายได้สำหรับผู้สูงอายุ
(๑) การขยายอายุเกษียณและการจ้างงานผู้สูงอายุ ธนาคารโลกได้ให้ขยายอายุเกษียณ เป็น ๖๗ ปี แต่ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank : ADB) อาจขยายอายุเกษียณเป็น ๖๒ ปี ซึ่งรัฐอาจมีภาระงบประมาณด้านเงินเดือนของเจ้าหน้าที่ระดับสูงต่อไปในอนาคต ดังนั้น การขยายอายุเกษียณจึงต้องมีการศึกษาด้านอื่นๆ ให้รอบด้านก่อนกำหนดอายุเกษียณใหม่
ในอนาคตอีก ๓ ปี ประเทศไทย มีภาระงบประมาณด้านบำเหน็จบำนาญร้อยละ ๒ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ ในขณะที่ประเทศกลุ่มทวีปยุโรปและประเทศญี่ปุ่นมีภาระงบประมาณด้านบำเหน็จบำนาญสูงกว่าประเทศไทยมาก เช่น สหราชอาณาจักรมีภาระงบประมาณด้านบำเหน็จบำนาญร้อยละ ๘ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ ทุกประเทศจะมีปัญหาสังคมผู้สูงอายุเช่นเดียวกัน และฐานรายได้ของประเทศจากภาษีจะลดลง ซึ่งขณะนี้รัฐบาลอยู่ระหว่างการพิจารณาศึกษาความเหมาะสมของตำแหน่งที่จะขยายอายุการเกษียณ นอกจากนี้ภาคเอกชนควรช่วยสนับสนุนการจ้างงานผู้สูงอายุ และควรกำหนดเป็นนโยบายให้มีการจ้างงานผู้สูงอายุทำงานพาร์ทไทม์
(๒) กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) คือ ระบบการออมเงินภาคสมัครใจสำหรับแรงงานนอกระบบ เพื่อให้มีหลักประกันความมั่นคงให้ชีวิตยามเกษียณของตนเอง แต่ส่วนใหญ่แรงงานไม่ได้ให้ความสำคัญกับการออมเงินดังกล่าว เนื่องจากไม่มีสภาพบังคับ โดยพบว่าแรงงานนอกระบบเมื่อเกษียณมีรายได้ร้อยละ ๑๙ แต่แรงงานในระบบเมื่อเกษียณมีรายได้ร้อยละ ๖๐
(๓) กองทุนประกันสังคม คือ การสรางหลักประกันสังคมในการดํารงชีวิตในกลุ่มของสมาชิก ที่มีรายได้และจายเงินสมทบเขากองทุนประกันสังคม เพื่อรับผิดชอบในการเฉลี่ยความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการเจ็บป่วย คลอดบุตร ทุพพลภาพ ตาย สงเคราะหบุตร ชราภาพ และการว่างงาน เพื่อใหไดรับการรักษาพยาบาล และมีการทดแทนรายไดอยางตอเนื่อง
(๔) เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นเงินที่รัฐให้แก่ผู้สูงอายุที่มีอายุ ๖๐ ปี บริบูรณ์ขึ้นไป มีสัญชาติไทย ไม่เป็นผู้ได้รับสวัสดิการหรือสิทธิประโยชน์อื่นใดจากหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น ได้แก่ ผู้รับเงินบำนาญ เบี้ยหวัด บำนาญพิเศษ หรือเงินอื่นใดในลักษณะเดียวกัน ผู้สูงอายุที่อยู่ในสถานสงเคราะห์ของรัฐหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นผู้ได้รับเงินเดือน ค่าตอบแทน รายได้ประจำ หรือผลประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นที่รัฐหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดให้เป็นประจำ
(๕) เงินสงเคราะห์เพื่อการยังชีพสำหรับผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยกรมกิจการผู้สูงอายุได้ประกาศเชิญชวนให้ผู้สูงอายุร่วมบริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเข้ากองทุนผู้สูงอายุ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยกว่า ๓ ล้านคน ทั่วประเทศ โดยผู้ประสงค์บริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุสามารถแจ้งความจำนงได้ที่องค์การบริหารส่วนตำบล เทศบาล เมืองพัทยา หรือสำนักงานเขตในกรุงเทพมหานครที่ผู้สูงอายุได้ลงทะเบียนเบี้ยยังชีพไว้ สำหรับผู้ที่ทะเบียนบ้านอยู่ต่างจังหวัดแต่พักอาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานครสามารถแจ้งความประสงค์ขอบริจาคได้ที่กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ซึ่งปัจจุบันได้รับการบริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเป็นจำนวนที่น้อยมาก
(๖) การส่งเสริมการฝึกอาชีพให้แก่ผู้สูงอายุ โดยกรมกิจการผู้สูงอายุได้กำหนดให้ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุ(ศพอส.) เป็นศูนย์การฝึกอบรมดังกล่าวด้วย และเป็นแหล่งถ่ายทอดภูมิปัญญาผู้สูงอายุที่มีประโยชน์และประสบการณ์ ซึ่งในปีนี้กรมกิจการผู้สูงอายุได้คัดเลือกนวัตกรรม ภูมิปัญญา และส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุส่งผลให้ผู้สูงอายุมีงานทำมากขึ้น รวมทั้งสร้างความตระหนักให้ทุกคน มีการวางแผนทางการเงินให้เพียงพอสำหรับวัยสูงอายุ
(๗) ผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่มีความเหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุ
๕) การจัดทำฐานข้อมูลด้านผู้สูงอายุ กรมกิจการผู้สูงอายุได้จัดทำระบบฐานข้อมูลผู้สูงอายุโดยแยกเป็นผู้สูงอายุติดบ้านและผู้สูงอายุป่วยติดเตียง สำหรับกระทรวงการคลังจัดทำฐานข้อมูล
ผู้ลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐ โดยมีข้อมูลเกี่ยวกับครอบครัวและความต้องการช่วยเหลือ เพื่อให้การช่วยเหลือผู้สูงอายุ ได้ตรงเป้าหมาย
๖) การให้ความสำคัญในการดูแลตนเอง ผู้สูงอายุควรให้ความสำคัญในด้านการรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ประเภทปลา ผัก ผลไม้เป็นหลัก ออกกำลังกายสม่ำเสมอเท่าที่ร่างกายสามารถที่จะทำได้ เรียนรู้ และนำเทคโนโลยีมาใช้ประโยชน์สำหรับการติดต่อสื่อสารและการอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน นอกเหนือจากนั้นควรมีหลักการดำรงชีวิต ดังนี้
(๑) รับประทานอาหารในปริมาณที่เหมาะสม ไม่ควรทานมากจนเกินไป
(๒) ทำกิจกรรมได้ มีสัมมาอาชีวะ หรือมีการทำงาน คือ ๑) ต้องทำงานที่ไม่เบียดเบียนตนเองเกินไป ๒) ต้องทำงานที่ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ๓) ต้องทำงานที่ไม่เบียดเบียนสังคม และ ๔) ต้องมีรายได้มากกว่ารายจ่าย เพื่อให้มีเงินออม
(๓) เพื่อนฝูงมาก
(๔) เตรียมตัวดี ได้แก่ การเงิน ครอบครัว ผู้สูงอายุต้องเป็นหลักของครอบครัว เรียนรู้ให้ทันสมัยกับสมาชิกในครอบครัว การเตรียมบ้านให้มีความเหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุ เช่น พื้นราบ ไม่มีจุดสะดุด ราวจับ สัญญาณเตือน ประตูห้องน้ำต้องมีลักษณะเปิดออกไปยังด้านนอกห้องน้ำ และการเตรียมตัวตายโดยการทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตตน (Living Will)
(๕) การอ่านคนให้ออก คือ สามารถที่จะเรียนรู้พฤติกรรมของแต่ละคนได้ รวมถึงศึกษาเรื่องราวสถานการณ์ใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นได้ตลอดไป
(๖) บอกคนได้ คือ สามารถถ่ายทอดเรื่องราวที่เป็นประสบการณ์ที่ดีเป็นแนวทางแก่คนรุ่นหลังได้
(๗) ใช้คนเป็น คือ สามารถที่จะขอความช่วยเหลือบุคคลที่มีความถนัดในสิ่งที่ผู้สูงอายุต้องการความช่วยเหลือได้
(๘) ยึดหลักคุณธรรมประจำใจ คือ มีความเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา เป็นหลักในการดำเนินชีวิต
๗) การเรียนรู้ตลอดชีวิต การดำเนินงานด้านผู้สูงอายุจะมองแยกส่วนไม่ได้ เนื่องจากปัจจุบันเป็นสังคมที่อยู่ร่วมกันกับกลุ่มคนในช่วงวัยต่างๆ ดังนั้น การจัดกิจกรรมการเรียนรู้สำหรับผู้สูงอายุหรือการเตรียมตัวเข้าสู่วัยสูงอายุต้องมองมิติต่างๆ ให้ครอบคลุม และกิจกรรมการเรียนการสอนไม่ใช่การศึกษาในระบบเท่านั้น แต่การศึกษาที่สำคัญ คือ การศึกษาตามอัธยาศัย ดังนั้น มิติการเรียนรู้ที่สำคัญ ได้แก่
(๑) มิติความรู้ความสามารถ ความรู้จากผู้สูงอายุเป็นประสบการณ์ที่มีคุณค่า สามารถนำมาแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นได้ในอนาคต
(๒) มิติความสัมพันธ์ระหว่างกันและกัน เช่น การสนทนา การพูดคุย
(๓) มิติด้านวัฒนธรรมและจิตใจที่ถ่ายทอดไปสู่รุ่นต่อรุ่น
(๔) มิติด้านสุขภาพ
(๕) มิติด้านการมีส่วนร่วม เช่น การมีส่วนร่วมทางการเมือง ประสบการณ์ของผู้สูงอายุสามารถที่จะนำมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้
ดังนั้น การเรียนรู้ระหว่างวัยต่างๆ ร่วมกัน ก่อให้เกิดการถ่ายทอดความรู้และการเรียนรู้ระหว่างวัยหรือกลุ่มบุคคลจึงเป็นเรื่องที่แยกส่วนไม่ได้และเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง
การสร้างความเข้มแข็งในแต่ละพื้นที่เป็นเรื่องสำคัญมาก โดยเฉพาะการสร้างความเข้มแข็ง ในลักษณะชมรมผู้สูงอายุ ชมรมผู้สูงอายุเป็นแกนนำที่จะขับเคลื่อนงานผู้สูงอายุและมีความเข้าใจงานผู้สูงอายุเป็นอย่างดี ดังนั้น ผู้นำท้องถิ่นหรือผู้นำชมรมผู้สูงอายุจำเป็นต้องเข้าใจเรื่องผู้สูงอายุ และส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้สูงอายุอย่างต่อเนื่องให้สอดคล้องกับความต้องการและความสนใจของผู้สูงอายุ ดังนั้น การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้แก่ผู้สูงอายุ หน่วยงานต่าง ๆ ต้องมีการประชุมหารือและทำงานร่วมกันอย่างจริงจัง เพื่อให้เข้าใจเรื่องราวผู้สูงอายุ ความต้องการและธรรมชาติของผู้สูงอายุ หน่วยงานต้องมีการแลกเปลี่ยนและแนวปฏิบัติการทำงานของผู้สูงอายุระหว่างพื้นที่ต่างๆ ซึ่งจะส่งเสริมให้เกิดความเข้าใจในเรื่องเดียวกันได้ไม่ลำบาก
ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการ จะนำผลการเสวนา เรื่อง “สังคมผู้สูงอายุในยุคไทยแลนด์ ๔.๐” ไปพิจารณาผลักดันต่อไป และที่สำคัญคณะกรรมาธิการจะเร่งผลักดันให้ประเด็น “สังคมผู้สูงอายุเป็นระเบียบวาระแห่งชาติ” ต่อไปซึ่งได้มีข้อเสนอแนะ
๑) เห็นควรเสนอรัฐบาลประกาศให้ “สังคมผู้สูงอายุเป็นระเบียบวาระแห่งชาติ”ตั้งแต่วันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นวันผู้สูงอายุแห่งชาติ เป็นของขวัญปีใหม่ไทยให้กับผู้สูงอายุทั้งประเทศ
๒) ให้หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง นำระเบียบวาระแห่งชาติที่จะได้กำหนดขึ้นและผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติไปสู่การปฏิบัติเพื่อให้กระบวนการการดำเนินงานด้านผู้สูงอายุมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ในปี พ.ศ.๒๕๖๔ พร้อมทั้งให้รายงานผลการดำเนินงานตามระเบียบวาระแห่งชาติตามที่จะได้กำหนดไว้
๓) ให้คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติติดตามและประเมินผลการปฏิบัติตามนโยบายและแผนหลักที่กำหนดมาจากระเบียบวาระแห่งชาติ
ร่วมแสดงความคิดเห็นได้ที่คณะกรรมาธิการการสังคม เด็ก เยาวชน สตรีผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส สภานิติบัญญัติแห่งชาติ โทร.๐๒-๘๓๑๙๒๒๕-๖โทรสาร ๐๒-๘๓๑๙๒๒๖
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี