กองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ.๒๕๕๐ เป็นกองทุนที่ดำเนินการต่อเนื่องจากกองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการตามพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ
พ.ศ.๒๕๓๔ กองทุนส่งเสริมฯ มีรายได้มาจากหลายส่วน อาทิเงินประเดิมเงินอุดหนุนจากรัฐบาล (แต่ทว่าในหลายปีที่ผ่านมารัฐบาลไม่ได้จัดสรรเงินให้แก่กองทุน) เงินบริจาค และรายได้อื่นๆ ซึ่งแหล่งรายได้สำคัญที่ส่งผลให้เงินกองทุนส่งเสริมฯ เพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ คือ เงินที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการนำส่งเข้ากองทุนส่งเสริมฯ กรณีที่นายจ้างไม่จ้างงานคนพิการตามที่กฎหมายกำหนด จึงถือได้ว่าเงินดังกล่าวเป็นเงินค่าจ้างคนพิการที่นายจ้างไม่ประสงค์ใช้เพื่อการจ้างงานคนพิการ แต่ได้นำส่งสมทบเข้ากองทุนส่งเสริมฯ โดยมีวัตถุประสงค์เฉพาะเพื่อนำไปใช้ในการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการตามที่กฎหมายกำหนด ดังนั้น เงินก่อนนี้จึงควรจะถูกใช้เพื่อพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตของคนพิการโดยแท้จริง ไม่ควรที่จะถูกนำไปใช้ในด้านอื่นใดที่ไม่เป็นคุณประโยชน์ต่อคนพิการ ซึ่งมีข้อจำกัดในการดำรงชีวิตมากมายหลายประการ
คณะอนุกรรมาธิการกิจการคนพิการ ในคณะกรรมาธิการการสังคม เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาสสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้พิจารณาศึกษาปัญหาและผลกระทบหากมีการนำเงินกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน โดยได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมเพื่อปรึกษาหารือสรุปได้ ดังนี้
แนวคิดของกระทรวงการคลัง : แนวคิดของกระทรวงการคลัง ในการกำกับดูแลการบริหารจัดการกองทุนภาครัฐ ที่มี
เงินสะสมไว้ในระดับที่เกินความจำเป็น โดยเบื้องต้นพิจารณาจากประสิทธิภาพการใช้จ่ายเงินของกองทุนที่ได้นำเงินไปใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์ของกองทุน ซึ่งจากข้อเท็จจริงพบว่า มีกองทุนจำนวนมากสะสมเงินไว้โดยไม่ได้ดำเนินการตามภารกิจและวัตถุประสงค์ของกองทุน กระทรวงการคลังจึงต้องมีมาตรการกระตุ้นให้กองทุนดำเนินการตามภารกิจเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อกลุ่มเป้าหมายตามวัตถุประสงค์ของกองทุนนั้นๆ อย่างแท้จริง ซึ่งกองทุนส่งเสริมฯ กลุ่มเป้าหมายที่จะได้รับประโยชน์ คือ คนพิการ ทั้งนี้ หากหน่วยงานซึ่งทำหน้าที่กำกับดูแลกองทุนดำเนินการให้เป็นไปตามภารกิจและวัตถุประสงค์ของกองทุนอย่างจริงจัง มีความชัดเจนและแน่นอน ผลดีก็จะเกิดกับคนพิการ จากการคำนวณเงินสะสมของกองทุนส่งเสริมฯ จากข้อมูลโดยเฉลี่ย ๓ ปี ที่ผ่านมา กองทุนส่งเสริมมีเงินทุนประมาณ ๖,๐๐๐-๗,๐๐๐ พันล้านบาท มีการใช้จ่ายเงินจากกองทุนประมาณ ๒,๐๐๐ พันล้านบาท รวมทั้งแผนการใช้จ่ายเงินกองทุนส่งเสริมฯ ก็ยังมีตัวเลขคงที่ไม่เพิ่มขึ้นมากนัก ดังนั้นเมื่อพิจารณาจากตัวเลขการใช้เงินกองทุนส่งเสริมฯ ดังกล่าว จึงเห็นว่าเงินที่สะสมไว้ไม่เกิดประโยชน์ต่อคนพิการจึงควรส่งกลับให้รัฐบาลเพื่อนำไปทำกิจกรรมอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศและสังคมโดยภาพรวมก่อน เมื่อคนพิการมีความต้องการใช้งบประมาณเพิ่มมากขึ้นก็สามารถตั้งของบประมาณจากรัฐบาลได้
อย่างไรก็ตาม วิธีคิดจำนวนเงินสภาพคล่องส่วนที่เกินความจำเป็นของกองทุนส่งเสริมฯ ดังกล่าวอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงด้านรายจ่ายเท่านั้น ยังไม่ได้คำนึงถึงเงินขารับที่จะเข้ากองทุน จึงนำมาซึ่งตัวเลขเงินประมาณ ๒,๐๐๐ ล้านบาท ที่กองทุนส่งเสริมฯ ควรส่งเข้าคลังเป็นรายได้แผ่นดิน กระทรวงการคลังจึงได้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อมีมติให้กองทุนส่งเสริมฯ นำส่งเงินจำนวน ๒,๐๐๐ ล้านบาท เข้าคลังเป็นรายได้แผ่นดิน เมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ กระทรวงการคลังจึงมีหนังสือแจ้ง กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ หรือ พก. ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลกองทุนส่งเสริมฯ ระหว่างนั้น สภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทยได้ฟ้องคดีต่อศาลปกครองเพื่อขอให้กระทรวงการคลังเพิกถอนคำสั่งให้กองทุนส่งเสริมฯ นำส่งเงิน ๒,๐๐๐ ล้านบาท เข้าคลังเป็นรายได้แผ่นดังกล่าวในขณะเดียวกันผู้แทนกองทุนส่งเสริมฯ และผู้แทนคนพิการ ได้หารือร่วมกับผู้บริหารกระทรวงการคลัง เพื่อให้พิจารณาทบทวนเงินจำนวน ๒,๐๐๐ ล้านบาท ดังกล่าว ซึ่งอาจจะยังขาดองค์ประกอบข้อเท็จจริงที่เป็นสาระสำคัญ บางประการเนื่องจากกองทุนส่งเสริมฯ มีแผนการใช้จ่ายเงินล่วงหน้าที่กำหนดไว้แล้วแต่ยังไม่ได้แสดงออกมาอย่างชัดเจนในการประชุมคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมฯ ซึ่งแผนดังกล่าวมีความจำเป็นต้องใช้เงินประมาณ ๑,๐๐๐ พันล้านบาท ดังนั้น ผลการหารือดังกล่าวจึงได้ตกลงร่วมกันว่าตัวเลข ที่กองทุนส่งเสริมฯ จะต้องนำส่งเงินเข้าคลังเป็นรายได้แผ่นดิน จำนวน ๑,๐๐๐ พันล้านบาท ทั้งนี้ กระบวนการทางศาลปกครองก็ยังคงดำเนินการต่อไป ซึ่งกระทรวงการคลังต้องรอคำพิพากษาของศาลปกครอง
ความคิดเห็นในประเด็นต่างๆ ดังนี้
ประเด็นการใช้จ่ายเงินกองทุนโดยพก. : ในฐานะหน่วยงานดูแลกองทุนส่งเสริมฯ ซึ่งกระทรวงการคลังได้ระบุว่าเป็นกองทุนที่มีสภาพคล่องเกินความจำเป็นควรต้องส่งเงินคืนคลัง เป็นรายได้แผ่นดิน เพื่อกระตุ้นให้กองทุนนำเงินไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อคนพิการมากที่สุด ทั้งนี้ ตัวเลขการใช้จ่ายเงินของกองทุนส่งเสริมฯ ตามที่กระทรวงการคลังได้นำเสนอนั้น แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของการนำเงินกองทุนไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อคนพิการยังไม่ดีพอหรือไม่อย่างไร จึงทำให้กองทุนส่งเสริมฯ มีสภาพคล่องเกินความจำเป็นเมื่อกระทรวงการคลังแจ้งให้กองทุนส่งเสริมฯ นำส่งเงินคืนคลังแล้วนั้น พก. มีแผนการใช้เงินกองทุนให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อคนพิการ เพื่อไม่ให้เป็นกองทุนที่มีสภาพคล่อง เกินความจำเป็นอย่างไรบ้าง
- กองทุนส่งเสริมฯ มีรายได้จำนวนมากจากนายจ้างที่ไม่จ้างงานคนพิการที่ต้องนำส่งเงินเข้ากองทุน ในอัตราส่วนการจ้างงานคนพิการ ๑ คน ต่อลูกจ้าง ๑๐๐ คน จึงทำให้ มีเงินเข้ากองทุนจำนวนมาก ทั้งนี้ คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมฯ จึงได้ปรับการใช้จ่ายเงินของกองทุนให้สอดคล้องกับปริมาณเงินขาเข้าของกองทุน กำหนดกรอบการใช้จ่ายเงินกองทุนให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ด้วยการแบ่งเป็นด้านต่าง ๆ เช่น งานวิจัย นวัตกรรม และการบูรณาการอาชีพคนพิการ เพื่อเร่งรัดให้ใช้จ่ายเงินครอบคลุมและทั่วถึงคนพิการมากขึ้น พร้อมทั้งเร่งรัดการอนุมัติวงเงินที่สูงเกินกว่าอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมฯปรับเพิ่มค่าใช้จ่ายของสภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทยในส่วนของเงินอุดหนุนรายหัวสำหรับสมาชิกของสมาคมคนพิการแต่ละประเภท และมีแผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายเงินกองทุนให้ถึงกลุ่มเป้าหมายมาโดยตลอด ทั้งนี้ เมื่อใช้จ่ายเงินกองทุนเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ปัจจุบันมีการจ้างงานคนพิการเพิ่มมากขึ้น ตามมาตรา ๓๓ และ มาตรา ๓๕ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ.๒๕๕๐ และที่แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๕๖ และตามนโยบายของรัฐบาล คาดว่ารายรับกองทุนในภาพรวมมีแนวโน้มที่จะลดลง ซึ่งค่าเฉลี่ย ในปีพ.ศ. ๒๕๖๑ รายรับกองทุนมีแนวโน้มลดลง ร้อยละ ๓๐ ในขณะที่รายจ่ายกองทุนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ร้อยละ ๕๐
ประเด็นการใช้เงินงบหัวละบาท และบริการเงินกู้ยืม : ภายหลังที่กรมบัญชีกลาง มีคำสั่งให้กองทุนส่งเสริมฯ ส่งเงินเข้าคลัง
เป็นรายได้แผ่นดินนั้น การใช้จ่ายเงินกองทุนส่งเสริมฯ ระดับจังหวัด หรือที่เรียกว่า“งบหัวละบาท” มีตัวเลขการใช้เงินสูงมากขึ้นหรือไม่ และคนพิการสามารถเข้าถึงการกู้ยืมเงินเพื่อการประกอบอาชีพ เพิ่มมากขึ้นหรือไม่
- มีข้อมูล ดังนี้ (๑) ประเด็นการให้บริการเงินกู้ยืมสำหรับคนพิการ ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๓๘ จนถึงปัจจุบัน กองทุนให้บริการ
เงินกู้สำหรับคนพิการ ๑๖๔,๐๐๐ ราย จำนวนเงิน ๕,๐๐๐ ล้านบาท โดยในปี พ.ศ.๒๕๕๘ ให้บริการ ๑๓,๒๗๓ ราย จำนวนเงิน ๔๔๖ ล้านบาทปี พ.ศ.๒๕๕๙ ให้บริการ ๑๖,๔๓๐ ราย จำนวนเงิน ๕๙๘ ล้านบาท ปี พ.ศ.๒๕๖๐ ให้บริการ ๑๘,๐๐๐ ราย จำนวนเงิน ๗๙๕ ล้านบาท และปี พ.ศ.๒๕๖๑ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในช่วงไตรมาส ๓ ตั้งเป้าหมายไว้๑๔,๐๐๐ ราย จำนวนเงินกว่า ๑,๑๐๐ ล้านบาท ซึ่งให้บริการไปแล้วกว่า ๙,๐๐๐ ราย จำนวนเงินกว่า ๕๐๐ล้านบาท ทั้งเป้าหมายและจำนวนเงิน ที่ให้บริการเงินกู้ยืมเงินสำหรับคนพิการเพิ่มขึ้นทุกปีตามลำดับ นอกจากนี้ ยังมีการประชาสัมพันธ์ การให้บริการไปยังกลุ่มเป้าหมายผ่านสื่อต่างๆ ด้วย
(๒) ประเด็นปัญหาการให้บริการเงินกู้ยืมสำหรับคนพิการในระดับจังหวัดที่ยังมีความล่าช้า อาจจะเนื่องมาจากการประชุมของคณะอนุกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิต คนพิการประจำจังหวัดที่รับมอบอำนาจการอนุมัติไปจากกองทุนส่วนกลาง จัดประชุม ๒ เดือนต่อ ๑ ครั้ง สำหรับในส่วนกลางจัดประชุมเดือนละ ๑ ครั้ง จึงทำให้ส่วนกลางอนุมัติเงินกู้ยืมสำหรับคนพิการได้รวดเร็วกว่าในระดับจังหวัด ทั้งนี้ กองทุนส่งเสริมฯ ประชาสัมพันธ์และกระตุ้นไปยังจังหวัดแล้วว่า ขอให้จัดการประชุมเพื่อคนพิการจะได้รับการอนุมัติเงินกู้ยืมที่รวดเร็วมากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีโครงการให้จังหวัดสามารถจ้างบุคคลเพื่อลงพื้นที่เยี่ยมบ้านคนพิการที่ยื่นขอกู้ยืมเงิน เพื่อช่วยลดภาระหน้าที่ ของเจ้าหน้าที่กองทุนในส่วนภูมิภาคจำนวนคนพิการที่รอการเยี่ยมบ้านมีจำนวนลดลง ทำให้การประชุมของคณะอนุกรรมการ ประจำจังหวัดให้มีความรวดเร็วขึ้น ซึ่งได้ประชาสัมพันธ์ให้จังหวัดเร่งดำเนินการเรื่องการกู้ยืมเงินคนพิการให้รวดเร็วมากขึ้นด้วย เพื่อให้คนพิการมีโอกาสในการประกอบอาชีพ
(๓) ประเด็นการสนับสนุนโครงการต่างๆ ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๓๘ถึงปัจจุบัน กองทุนสนับสนุนโครงการต่างๆ ไปแล้วกว่า ๗,๖๐๐ โครงการ จำนวนเงิน๓,๕๐๐ ล้านบาท โดยในปี พ.ศ.๒๕๕๘ จำนวน ๖๓๖ โครงการ จำนวนเงิน ๕๙๒ ล้านบาท ปี พ.ศ.๒๕๕๙ จำนวน ๑,๒๔๙ โครงการ จำนวนเงิน ๖๖๐ ล้านบาท ปี พ.ศ.๒๕๖๐ จำนวน ๓,๐๐๐ โครงการ จำนวนเงิน ๑,๒๐๐ ล้านบาท และปี พ.ศ.๒๕๖๑ โครงการในส่วนภูมิภาคได้จัดสรรงบประมาณ ๑๕๐ ล้านบาท ซึ่งคณะอนุกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการประจำจังหวัดมีอำนาจในการอนุมัติและสามารถโอนเงินให้กับองค์กรคนพิการ ในจังหวัดได้เลย และปัจจุบันไตรมาส ๓ ได้อนุมัติโครงการไปแล้วกว่า ๔๐๐ โครงการ จำนวนเงินกว่า ๑๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้ การสนับสนุนโครงการๆ ได้เพิ่มจำนวนโครงการมากขึ้นเนื่องจากให้อำนาจคณะอนุกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการประจำจังหวัดพิจารณาอนุมัติโครงการได้เลย ตั้งแต่ปี ๒๕๕๗ ที่ผ่านมา
(๔) ในปัจจุบันกองทุนส่งเสริมฯ อยู่ระหว่างการเปิดใช้ระบบการเสนอและรายงานโครงการผ่านทางระบบออนไลน์แล้ว เพื่อให้องค์กรด้านคนพิการหรือหน่วยงานที่จะขอรับการสนับสนุนจากกองทุนส่งเสริมฯ สามารถเสนอโครงการได้รวดเร็วมากขึ้น ซึ่งจะได้จัดอบรมเกี่ยวกับการเสนอโครงการผ่านระบบออนไลน์ต่อไป
ประเด็นบทบาทศูนย์บริการคนพิการทั่วไป : ปัจจุบันศูนย์บริการคนพิการทั่วไป มีจำนวนมากขึ้น แต่ก็ยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่คาดหวังไว้ เนื่องจากเจตนารมณ์ของศูนย์บริการ คนพิการทั่วไปที่ต้องการให้บริการสำหรับคนพิการอย่างต่อเนื่อง และมีค่าใช้จ่ายเป็นรายหัว ซึ่งจะต้องแตกต่างไปจากระบบโครงการที่กำหนดเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดไว้แน่ชัด แต่ ศูนย์บริการคนพิการจำนวนมาก ยังได้รับสนับสนุนจากกองทุนส่งเสริมฯ เพื่ออุดหนุนเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการของศูนย์บริการคนพิการทั่วไป ไม่ครบ ๑๒ เดือน ทั้งนี้ กองทุนส่งเสริมฯ มีความพยายามหาทางแก้ไขปัญหานี้อย่างไร เพื่อให้ศูนย์บริการคนพิการทั่วไป เป็นกลไกขับเคลื่อนงานด้านคนพิการในเชิงยุทธศาสตร์ที่จะทำให้ดีขึ้น พบปัญหาว่าแนวคิดการสนับสนุนเงินรายหัวยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายส่งผลให้กิจกรรมการทำงานของศูนย์บริการคนพิการทั่วไปลดลง
(อ่านต่อฉบับหน้า)
สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ถนนอู่ทองใน ดุสิต กทม. 10300 email : dek_senate@hotmail.co.th หรือ Facebook: กมธ.พัฒนาสังคมหรือ กลุ่มงานคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและกิจการเด็กฯ วุฒิสภา โทร.02-831-9225-6 แฟกซ์ 02-831-9226
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี