(ต่อจากบับที่แล้ว)
- หลักเกณฑ์การพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน ต่อการกำหนดประเภททุนที่จะได้รับยกเว้นนั้น ต้องเป็น
กองทุนที่มีลักษณะเรียกเงินจากสมาชิกและต้องจ่ายเงินคืนให้แก่สมาชิก เมื่อพิจารณาลักษณะกองทุนส่งเสริมฯ แล้วยังไม่เข้าตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการได้พิจารณาไว้ อย่างไรก็ตาม การสำรวจกองทุนตามพระราชกฤษฎีกาการกำหนดจำนวนเงินสะสมสูงสุด และการนำทุนหรือผลกำไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียนส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน พ.ศ.๒๕๖๑ ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๖๑ นั้น กองทุนส่งเสริมฯ ไม่ได้มีเงินสะสมอยู่ในเกณฑ์ที่ต้องนำส่งเงินเข้าคลังเป็นรายได้แผ่นดิน เนื่องจากกองทุนมีแผนการใช้จ่ายเงิน ที่มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น จึงเห็นว่าหากกองทุนมีประสิทธิภาพในการดำเนินงานที่ชัดเจน ก็มั่นใจได้ว่า จะไม่มีเงินสะสมเหลือเกินความจำเป็นที่จะเรียกส่งคืนคลังเป็นรายได้แผ่นดินถ้าตามพระราชกฤษฎีกากำหนด
- จากข้อเท็จจริง ที่ได้หารือร่วมกันทุกฝ่ายซึ่งเห็นตรงกันว่าเงินรายรับซึ่งเป็นเงินขาเข้าของกองทุน มีแนวโน้มชัดเจนว่าจะน้อยกว่ารายจ่ายหรือเงินขาออกอย่างมาก และจากข้อมูลสถิติซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่า จำนวนผู้สูงอายุของประเทศไทยในอีก ๒ ปีข้างหน้า จะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ ๒๐ ของประชากรทั้งประเทศ และในจำนวนผู้สูงอายุดังกล่าวกว่าร้อยละ ๕๐ เป็นคนพิการ ดังนั้น จึงถือเป็นข้อเท็จจริงซึ่งเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าการขอให้กองทุนส่งเสริมฯ นำส่งเงินเข้าคลังเป็นรายได้แผ่นดินจะต้องส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของกองทุนส่งเสริมอย่างแน่นอน
ในปี พ.ศ. ๒๕๖๑ กองทุนมีรายได้จากสถานประกอบการ จำนวนเพียง ๑,๔๐๐ ล้านบาท ลดลงจากปี พ.ศ. ๒๕๖๐ซึ่งมีรายได้จากสถานประกอบการ จำนวนกว่า ๒,๐๙๐ ล้านบาท ทั้งนี้ กองทุนไม่มีรายได้อย่างอื่นรวมทั้งไม่ได้รับการสนับสนุนเงินประจำปีจากรัฐบาลดังนั้น รายได้หลักของกองทุนจึงได้มาจากสถานประกอบการที่ไม่จ้างงานคนพิการ อย่างไรก็ตาม การพิจารณาให้กองทุนส่งเสริมฯ นำเงินส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน จำนวน ๒,๐๐๐ ล้านบาท นั้น อาศัยอำนาจตามข้อบังคับกระทรวงการคลังว่าด้วยการให้องค์การของรัฐบาลที่ใช้ทุนหรือทุนหมุนเวียนนำทุนหรือผลกำไรเข้าบัญชีเงินคงคลังบัญชีที่ ๑ พ.ศ.๒๕๕๖ โดยเห็นว่ากองทุนส่งเสริมฯ ในขณะนั้น มีสภาพคล่องสูงเกินความจำเป็น จึงขอให้นำส่งเงินดังกล่าวเข้าคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ทั้งนี้ ประเด็นการกำหนดให้กองทุนส่งเสริมฯ ไม่ต้องอยู่ภายใต้บังคับพระราชกฤษฎีกาการกำหนดจำนวนเงินสะสมสูงสุด และการนำทุนหรือผลกำไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียนส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน พ.ศ.๒๕๖๑ ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ ๒๗ มกราคม
๒๕๖๑ นั้น จะไม่มีผลย้อนหลังไปถึงเงินจำนวน ๒,๐๐๐ พันล้านบาทดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ในปี พ.ศ.๒๕๖๑ นี้ กองทุนส่งเสริมฯ ไม่มีเงินสะสมเหลือเกินความจำเป็นตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด จึงไม่ต้องนำส่งกระทรวงการคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ภายหลังที่มีหนังสือให้กองทุนส่งเสริมฯ นำเงินส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินจำนวน ๒,๐๐๐ ล้านบาท ได้หารือร่วมกับผู้แทนกองทุนส่งเสริมฯว่ายังมีความจำเป็นในการใช้เงินกองทุนเพิ่มเติม จนนำมาสู่จำนวนเงินที่ต้องนำส่งคลัง จำนวน ๑,๐๐๐ ล้านบาท อย่างไรก็ตาม กระบวนการดังกล่าวอยู่ในชั้นการพิจารณาของศาลปกครอง
ประเด็นการเสนอของบประมาณของศูนย์บริการคนพิการทั่วไป : หลักการนำเสนอกรอบงบประมาณของกองทุนส่งเสริมฯ พก.จะรวบรวมกรอบงบประมาณทั้งหมด เสนอคณะอนุกรรมการบริการกองทุนส่งเสริมฯ เพื่อมีมติเห็นชอบ ประมาณเดือนมิถุนายนแล้ว เพื่อส่งไปยังกระทรวงการคลังขออนุมัติกรอบงบประมาณ โดยกระทรวงการคลังจะใช้เวลาพิจารณาอนุมัติ ระหว่างเดือนกรกฎาคม-กันยายน แล้วจะแจ้งกลับมายังกองทุนส่งเสริมฯ ประมาณปลายเดือนตุลาคม เพื่อดำเนินการเบิกจ่ายงบประมาณตามกรอบต่อไป
กรณีการเสนอของบประมาณของศูนย์บริการคนพิการทั่วไป เพื่อให้ได้รับเงินอุดหนุนครบ ๑๒ เดือน นั้น ศูนย์บริการคนพิการทั่วไปจะต้องมีหนังสือเสนอของบประมาณต่อกองทุนส่งเสริมฯ เพื่อให้พิจารณาอนุมัติกรอบงบประมาณดังกล่าวไว้ก่อนสิ้นปีงบประมาณ หรือก่อนวันที่ ๑ ตุลาคมของปีนั้น จากนั้นกองทุนส่งเสริมฯ หรือคณะอนุกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการประจำจังหวัด จะนัดประชุมเพื่อพิจารณาอนุมัติงบประมาณเบิกจ่ายให้ศูนย์บริการคนพิการทั่วไปอีกครั้ง ภายหลังที่กระทรวงการคลังอนุมัติกรอบเงินงบประมาณแล้วเท่านั้น แม้ว่าจะมีการประชุมล่าช้าไปในเดือนหลังต้นปีงบประมาณ เช่น ประชุมในเดือนธันวาคม งบประมาณที่ศูนย์บริการคนพิการทั่วไปจะได้รับ ก็จะครบ ทั้ง ๑๒ เดือนตามกรอบงบประมาณโดยภาพรวมทั้งปีซึ่งได้รับการอนุมัติไว้แล้ว
ดังนั้น สาระสำคัญในการเสนอขอรับงบประมาณเพื่อเป็นเงินอุดหนุนสำหรับศูนย์บริการคนพิการทั่วไป ให้ครบ ๑๒ เดือน ศูนย์บริการ
คนพิการทั่วไปจะต้องเสนอของบประมาณมาก่อนสิ้นปีงบประมาณ ทั้งนี้ พก. จะได้มีหนังสือซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับการเสนอกรอบงบประมาณของศูนย์บริการคนพิการอีกครั้ง เพื่อให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ประเด็นการใช้เงินงบประมาณ“หัวละบาท” ของแต่ละจังหวัด ผลการดำเนินการเป็นไปตามเป้าหมายหรือไม่ ทั้งนี้ กองทุนส่งเสริมฯ ควรมีมาตรการเชิงรุกที่แสดงให้เห็นว่าจังหวัดใดบ้างสามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพและจังหวัดใดที่ใช้งบประมาณต่ำกว่าเป้าหมายที่กำหนด
งบประมาณ “หัวละบาท” พก. จะขอให้จังหวัดจัดทำแผนงบประมาณ “หัวละบาท” ในแต่ละจังหวัดว่าต้องการใช้เพื่อดำเนินการเรื่องใดบ้างเพื่อรวบรวมและเสนอของบประมาณต่อกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ จังหวัดใดมีงบประมาณ “หัวละบาท” ไม่เพียงพอต่อการดำเนินงาน ก็สามารถเสนอกรอบมายังส่วนกลางเพื่อขอกรอบเพิ่ม ซึ่งเป็นอำนาจอธิบดี พก. อนุมัติกรอบงบประมาณให้จังหวัดที่ขอมาเพิ่มเติมได้ ซึ่งมีจังหวัดที่ขอจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมทุกปีและมีบางจังหวัดที่ใช้งบประมาณ “หัวละบาท”ไม่หมด เช่นกัน ดังนั้น ในเดือนมีนาคมของทุกปี จะมีการเรียกดูแผนของแต่ละจังหวัดหากพบว่าจังหวัดใดไม่ได้นำงบประมาณ “หัวละบาท” ที่จัดสรรไปใช้จ่าย กองทุนส่งเสริมฯ ก็จะขอเรียกเงินงบประมาณกลับคืนมาและจัดสรรให้จังหวัดที่มีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณเพิ่มเติมต่อไป โดยการดำเนินงานที่ผ่านมากรอบงบประมาณ “หัวละบาท” เป็นไปตามเป้าหมายและบางจังหวัดเกินกว่าที่เป้าหมายกำหนด
ประเด็นบริการกู้ยืมเงินสำหรับคนพิการเพื่อให้คนพิการนำไปประกอบอาชีพ มีบริการกู้ยืมเงินเพื่อวัตถุประสงค์อื่นหรือไม่ เช่น การศึกษา การรักษาโรค เป็นต้น นอกจากนี้ กรณีค้ำประกันเงินกู้ยืม นอกจากค้ำประกันโดยบุคคลแล้ว สามารถใช้หลักทรัพย์ค้ำประกันได้
หรือไม่
- บริการกู้ยืมเงินในปัจจุบัน เป็นการให้คนพิการและผู้ดูแลกู้ยืมเงินเพื่อประกอบอาชีพและขยายกิจการ ซึ่งการค้ำประกันกำหนดให้ค้ำประกันโดยบุคคล ทั้งนี้ ล่าสุดได้แก้ไขระเบียบกรณีกู้ยืมเงินแบบกลุ่มให้องค์กรด้านคนพิการสามารถเป็นผู้ค้ำประกันได้ อย่างไรก็ตาม บริการกู้ยืมเงินในปัจจุบันมีวัตถุประสงค์เฉพาะการประกอบอาชีพเท่านั้น เพื่อส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพคนพิการ ให้ประกอบอาชีพ มีรายได้ สามารถเลี้ยงตนเองและครอบครัวได้
ทั้งนี้ได้มีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะเพื่อดำเนินการต่อกรณีดังกล่าว ข้อสรุปได้ ดังนี้
๑.สมาคมสภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทยควรร่วมกับ พก. เข้าพบผู้บริหารของกระทรวงการคลัง เพื่อนำเสนอผลการหารือร่วมกันและขอให้พิจารณาใน ๒ เรื่องสำคัญ คือ
๑) ควรพิจารณายกเลิกหนังสือขอให้กองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ นำเงินสภาพคล่องส่วนที่เกินความจำเป็นของทุนหมุนเวียนส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน จำนวน ๒,๐๐๐ ล้านบาท
๒) ควรออกประกาศให้กองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการไม่ต้องอยู่ภายใต้บังคับพระราชกฤษฎีกาการกำหนดจำนวนเงินสะสมสูงสุด และการนำทุนหรือผลกำไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียนส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๖๑ เช่นเดียวกับกองทุนการออมแห่งชาติ กองทุนเงินทดแทน กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ และกองทุนประกันสังคม
๒.คณะกรรมาธิการการสังคมฯ ควรจัดทำข้อเสนอแนะต่อคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติเพื่อพิจารณาใน ๒ ประเด็น ดังนี้
๑) ข้อเสนอแนะต่อกระทรวงการคลัง
(๑) กระทรวงการคลังควรพิจารณายกเลิกหนังสือขอให้กองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการนำเงินสภาพคล่องส่วนที่เกิน
ความจำเป็นของทุนหมุนเวียนส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน จำนวน ๒,๐๐๐
ล้านบาท
(๒) กระทรวงการคลังควรออกประกาศให้กองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการไม่ต้องอยู่ภายใต้บังคับพระราชกฤษฎีกาการกำหนดจำนวนเงินสะสมสูงสุด และการนำทุน หรือผลกำไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียนส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน พ.ศ.๒๕๖๑ เช่นเดียวกับกองทุน การออมแห่งชาติ กองทุนเงินทดแทน กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ และกองทุนประกันสังคม
๒.) ข้อเสนอแนะต่อกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิต
คนพิการ
(๑) กองทุนควรพิจารณาปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ โดยกำหนดให้กองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการเป็นนิติบุคคล ทั้งนี้ เพื่อให้กองทุนดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพและมีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น
(๒) กองทุนควรจัดทำแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน และนำเสนอต่อหน่วยงานที่รับเงินอุดหนุนโดยเฉพาะอย่างยิ่งศูนย์บริการคนพิการทั่วไป
๓.พก. ควรจัดทำประกาศกำหนดแนวทาง ขั้นตอน และระยะเวลาการเสนอของบประมาณของศูนย์บริการคนพิการทั่วไปให้มีความชัดเจน เพื่อให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องรวมถึงศูนย์บริการคนพิการทั่วไปปฏิบัติได้ถูกต้อง เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ทั้งนี้ เพื่อให้ศูนย์คนพิการทั่วไปได้รับเงินอุดหนุนครบ ๑๒ เดือน
๔.คณะอนุกรรมาธิการและ พก. ควรร่วมกันพิจารณาศึกษาปัญหาและอุปสรรคจากระเบียบของกองทุนส่งเสริมฯ เพื่อไปสู่การแก้ไขปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย และระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการได้ดำเนินการตามข้อสังเกตดังกล่าวแล้ว และจะติดตามเรื่องดังกล่าวอย่างใกล้ชิดต่อไป ร่วมแสดงความคิดเห็นได้ที่คณะกรรมาธิการการสังคม เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการและผู้ด้อยโอกาส สภานิติบัญญัติแห่งชาติ โทร. ๐ ๒๘๓๑ ๙๒๒๕-๖โทรสาร ๐ ๒๘๓๑ ๙๒๒๖
สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ถนนอู่ทองใน ดุสิต กทม. 10300 email : dek_senate@hotmail.co.th หรือ Facebook: กมธ.พัฒนาสังคมหรือ กลุ่มงานคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและกิจการเด็กฯ วุฒิสภา โทร.02-831-9225-6 แฟกซ์ 02-831-9226
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี