ความเข้มแข็งของสมาชิกชุมชนคือปัจจัยสำคัญที่ช่วยส่งผลให้ประเทศชาติมีความเข้มแข็ง และมั่นคงตามมา ชุมชนจะเข้มแข็งได้ก็ต้องเกิดมาจากความร่วมมือร่วมใจของสมาชิกของชุมชน
คณะกรรมาธิการการสังคม เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส สภานิติบัญญัติ พยายามผลักดันและส่งเสริมให้ชุมชนทั่วประเทศเกิดความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน จึงให้ความสนใจและติดตามการดำเนินงานของกองทุนสังคม รวมถึงติดตามปัญหาต่างๆ ของชุมชน เพื่อร่วมกันหาทางแก้ไขปัญหา เพราะเมื่อแก้ปัญหาได้แล้วชุมชนก็จะเกิดความเข้มแข็ง ทั้งนี้ ล่าสุดคณะกรรมการ ได้เชิญ ประธานกองทุนสวัสดิการชุมชนเทศบาลตำบลบางเลน อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม เข้าร่วมประชุมเพื่อแลกเปลี่ยนแนวทางการบูรณาการกองทุนสวัสดิการชุมชนแบบองค์รวม โดยสามารถสรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
กองทุนสวัสดิการชุมชนเทศบาลตำบลบางเลน อำเภอบางเลนจังหวัดนครปฐม ถือเป็นกองทุนที่ได้รับรางวัลด้านผลงานการจัดสวัสดิการชุมชนแบบองค์รวม หลายมิติ สามารถเชื่อมโยงและบูรณาการทรัพยากรจากหลากหลายแห่งเพื่อแก้ไขปัญหาของสมาชิกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประจำปี ๒๕๖๑ ภายใต้โครงการ “ผู้สรรค์สร้างความมั่นคงของมนุษย์ตามแนวคิดของศาสตราจารย์ ดร.ป๋วยอึ๊งภากรณ์ คุณภาพแห่งชีวิต ปฏิทินแห่งความหวังจากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน” กองทุนฯ ดังกล่าวก่อตั้งขึ้นมาเมื่อวันที่ ๒๒ เมษายนปี พ.ศ.๒๕๕๒ เริ่มแรกมีคณะกรรมการ จำนวน ๒๗ คน สมาชิกจำนวน ๓๓ คน มีเงินทุนจากการระดมเริ่มแรกเป็นเงิน ๑๑,๘๒๐ บาทต่อมาได้รับการจดแจ้งเพื่อจัดตั้งเป็นองค์กรสวัสดิการชุมชนจากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๓ ปัจจุบันมีสมาชิกทั้งสิ้นจำนวน ๑,๘๒๗ คน
วัตถุประสงค์ในการจัดตั้งกองทุนฯ
๑.ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม เนื่องจากประชากรในเขตเทศบาลตำบลบางเลน มีจำนวนทั้งสิ้น ๗,๑๕๙ คน แต่กลับพบว่าประชากรส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสเข้าถึงและได้รับสวัสดิการจากรัฐ ดังนั้น เพื่อลดการเอารัดเอาเปรียบกันและเกิดความเท่าเทียมกัน กองทุนฯ จึงจัดตั้งขึ้นมาเพื่อให้ผู้ที่ขาดโอกาสรับสวัสดิการจากรัฐสามารถเข้าถึงสวัสดิการอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม
๒.ส่งเสริมให้เกิดการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือเกื้อกูลกันในชุมชน เนื่องจากสังคมไทยในอดีตเป็นสังคมแห่งความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือเกื้อกูลกันประดุจญาติ จนมีคำกล่าวที่ว่า “พริกบ้านเหนือ เกลือบ้านใต้ ปลาตัวเดียวแกงกินได้ทั้งหมู่บ้าน” ต่อมาเมื่อสังคมได้รับการพัฒนาด้านวัตถุ และเทคโนโลยี แต่กลับไม่ได้พัฒนาด้านจิตใจ ทำให้คนในสังคมไทยมีความเมตตาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และช่วยเหลือเกื้อกูลกันน้อยลง แต่กลับมีความเห็นแก่ตัว และเอารัดเอาเปรียบกันมากขึ้น
๓.ส่งเสริมให้เกิดความสามัคคีและเสียสละในชุมชนผ่านการบริหารจัดการกองทุนด้วย
๔.รู้จักเพิ่มมูลค่าของเงิน เนื่องจากเห็นว่าเงิน ๑ บาท หากอยู่กับคนคนเดียวย่อมมีค่าสำหรับคนเพียงคนเดียว และไม่สามารถที่จะนำไปซื้อหาอะไรได้เลย แต่หากนำเงิน ๑ บาท ของทุกคนในเขตเทศบาลตำบลบางเลนมารวมกันย่อมสามารถทำประโยชน์ให้กับส่วนรวมได้มากกว่า
จากแนวคิดดังกล่าว จึงนำไปสู่การจัดตั้งกองทุนฯ เพื่อให้กองทุนฯ เป็นสื่อกลางในการลดความเหลื่อมล้ำ ลดการเอารัดเอาเปรียบและสามารถรวบรวมเงินของประชาชนในชุมชนได้วันละ ๑ บาทต่อคนทั้งนี้ กองทุนฯ จะไม่มีการคืนเงินต้นให้แก่สมาชิกกองทุนฯ แต่จะให้ในรูปแบบของสวัสดิการ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท ประกอบด้วย
๑.สวัสดิการขั้นพื้นฐาน เช่น สวัสดิการเกี่ยวกับเด็กแรกเกิดผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้ด้อยโอกาสทุนการศึกษา การรักษาพยาบาลจากการเจ็บป่วย กรณีเสียชีวิต การช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติต่างๆกิจกรรมสาธารณะ เป็นต้น
๒.สวัสดิการที่จัดขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาสังคมที่ใช้เงินเป็นเครื่องมือ เช่น การฝึกอบรมอาชีพให้แก่กลุ่มองค์กรต่างๆ การสอนพิเศษ การสอนกฎหมายให้แก่ประชาชน เป็นต้น
แนวทางการดำเนินงานของกองทุนฯ
เพื่อให้การขับเคลื่อนการดำเนินงานของกองทุนฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงได้บริหารจัดการโดยใช้ประชาชนในชุมชนเป็นศูนย์กลาง โดยให้ผู้นำชุมชนได้เข้ามาเป็นคณะกรรมการ อีกทั้งยังเชื่อมโยงและบูรณาการการทำงานโดยอาศัยการประสานเชื่อมโยงกับหน่วยงานทั้งภายในเทศบาล โดยการสนับสนุนด้านต่างๆ เช่น สถานที่ทำงาน วัสดุ อุปกรณ์ บุคลากร อีกทั้งยังได้รับความร่วมมือจากโรงพยาบาลในตำบล แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุขในเขตเทศบาล ตลอดจน 15 ชุมชนในเขตเทศบาล วัด ห้างสรรพสินค้าเทสโก้โลตัส นอกจากนี้ ยังได้ประสานกับหน่วยงานภายนอกเทศบาล เช่น การจดแจ้งการจัดตั้งเป็นองค์กรสวัสดิการชุมชนกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ การได้รับเงินสมทบจากรัฐบาลผ่านการจัดสรรงบประมาณของสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน และมหาวิทยาลัย ได้เข้ามาถอดบทเรียนเพื่อนำความรู้ที่ได้ไปเผยแพร่ต่อไป
ที่มาของเงินกองทุนฯ ได้มาจากการสมทบจาก ๔ ส่วน ได้แก่ รัฐบาล เทศบาล สมาชิก และดอกเบี้ยเงินฝากและเงินที่ประชาชนบริจาค
ความสำเร็จของกองทุนฯ
๑.เนื่องจากเป็นกองทุนฯ ที่จัดตั้งขึ้นมาโดยชุมชน บริหารจัดการด้วยชุมชน และมีการเชื่อมโยงและบูรณาการการทำงานจากทุกภาคส่วน ทั้งองค์กรทั้งภายในและภายนอกเขตเทศบาล ทำให้กองทุนฯสามารถดำเนินงานสอดคล้องตามความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง นอกจากนี้ ยังมีระบบการตรวจสอบความถูกต้องอย่างเป็นระบบ เช่น การจัดประชุมคณะกรรมการและรายงานผลการดำเนินงานกองทุนให้สมาชิกกองทุนฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบเป็นระยะ ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสตรวจสอบได้
๒.มีการถอดบทเรียนการดำเนินงานของกองทุนฯ เพื่อใช้เป็นต้นแบบและเผยแพร่ต่อสาธารณะ ต่อไป
๓.ด้านเศรษฐกิจ ทำให้เกิดการลดรายจ่าย และเพิ่มรายได้ให้กับสมาชิกกองทุนฯ
๔.ด้านสังคม ทำให้สามารถลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม และก่อให้เกิดความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และก่อให้เกิดความสามัคคีและความเสียสละ
ดังนั้น อาจสรุปได้ว่า เป้าหมายสำคัญของกองทุนฯ นอกจากจะเป็น “กองทุน” แล้ว ยังเป็น “กองบุญ” สำหรับใช้ช่วยเหลือดูแลคนในชุมชน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชนให้ดีขึ้น ดังนั้น สมาชิกของกองทุนฯ ย่อมเข้าใจในกรณีช่วยเหลือผู้ยากไร้ที่มิได้สมทบเงินเข้ากองทุนฯ นอกจากนี้ ยังมีผู้บริจาคเงินให้กองทุนฯ อย่างต่อเนื่องด้วย
ประเด็นปัญหาและอุปสรรคสำคัญในการดำเนินงาน ดังนี้
๑.ตามที่รัฐบาลได้กำหนดนโยบายให้สวัสดิการชุมชนเป็นวาระแห่งชาติ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำของสังคม รวมทั้งพัฒนาระบบการออมและระบบสวัสดิการชุมชนให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ชุมชนมีความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน ดังนั้น รัฐบาลจึงมีแนวคิดสนับสนุนการจัดตั้งกองทุนสวัสดิการชุมชนมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๔๘ และต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๕๓ ได้มีแนวคิดให้การสนับสนุนกองทุนในรูปของเงินสมทบในลักษณะ ๑ : ๑ : ๑ โดยประชาชน ๑ ส่วน รัฐบาล ๑ ส่วน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๑ ส่วน (เป็นเงิน ๓๖๐ บาทต่อคนต่อปี)ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๓ที่ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้งเทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบลและองค์การบริหารส่วนจังหวัด พิจารณาสมทบงบประมาณกองทุนสวัสดิการชุมชนได้ตามฐานะการคลังของแต่ละแห่ง อย่างไรก็ดี ในทางปฏิบัติจริงพบว่า รัฐบาลมิได้สนับสนุนกองทุนด้วยการสมทบเงินกองทุนด้วยอัตรา ๑: ๑ ต่อคนต่อปีตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว แต่จะสมทบเงินผ่านสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน โดยให้สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนพิจารณาจัดสรรให้กองทุนฯ ตามความเหมาะสม ดังนั้น เพื่อให้การขับเคลื่อนงานของกองทุนฯเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพจึงเสนอให้รัฐบาลสมทบเงินกองทุนด้วยอัตรา ๑ : ๑ ต่อคนต่อปีตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว
๒.ในส่วนของการสมทบเงินกองทุนฯ ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แม้ว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะจัดทำหนังสือซักซ้อมความเข้าใจให้กับท้องถิ่นต่างๆ เกี่ยวกับแนวทางในการดำเนินงานเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินงานของสวัสดิการชุมชน รวมทั้งวิธีการด้านงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแล้ว แต่ในทางปฏิบัติจริงกลับพบว่า เกิดข้อขัดข้องในการดำเนินการบางประการ เนื่องจากที่ผ่านมาสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ทักท้วงเกี่ยวกับแนวทางในการจัดตั้งงบประมาณสนับสนุนการดำเนินงานและสมทบกองทุนสวัสดิการชุมชน ซึ่งเป็นภารกิจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นว่าไม่มีกฎหมายรองรับที่ชัดเจน แต่การสมทบเงินกองทุนฯ ของท้องถิ่นที่ผ่านมาอาศัยอำนาจตามหนังสือสั่งการซึ่งออกโดยกระทรวงมหาดไทยเท่านั้น ดังนั้น จึงเห็นควรเร่งผลักดันให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาปรับปรุงแก้ไขกฎหมายและระเบียบให้มีความเหมาะสมและเอื้อต่อการดำเนินงานของกองทุนฯ ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน
๓.เนื่องจากปัจจุบันการดำเนินงานของกองทุนฯ อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติสงเสริมการจัดสวัสดิการสังคม พ.ศ. ๒๕๔๖ ซึ่งพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวมิได้บัญญัติเกี่ยวกับอำนาจของราชการส่วนท้องถิ่นในการสมทบเงินกองทุนฯ อย่างชัดเจน ทำให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ ดังนั้น เพื่อให้เกิดความชัดเจน จึงเสนอให้พิจารณาออกกฎหมาย/ระเบียบเกี่ยวกับกองทุนฯ โดยเฉพาะเพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางในการดำเนินงานต่อไป
ข้อคิดเห็นของที่ประชุม ดังนี้
๑.เพื่อแก้ไขปัญหาการสมทบเงินเข้าสู่กองทุนฯขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จึงมีข้อเสนอให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาออกกฎหมาย/ระเบียบให้ชัดเจน ทั้งนี้ อยู่ระหว่างการแก้ไขรายละเอียดข้อ ๖๗นอกจากนี้ ยังเห็นควรพิจารณาปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติสงเสริมการจัดสวัสดิการสังคม พ.ศ.๒๕๔๖ และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เอื้อต่อการดำเนินการดังกล่าว
๒.ขณะนี้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทยอยู่ระหว่างการพิจารณาเพื่อจัดทำร่างระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการตั้งงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อสมทบกองทุน ซึ่งอาศัยความตามความในมาตรา ๗๔(๙) และมาตรา ๗๖ แห่งพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ.๒๕๔๐ มาตรา ๖๗(๙) และมาตรา ๖๙ แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ.๒๔๙๖ และมาตรา ๘๕ (๑๐) และมาตรา ๘๘ แห่งพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ.๒๕๓๗ อย่างไรก็ตาม กรณีกระทรวงมหาดไทยจะพิจารณาออกกฎหมาย/ระเบียบใด จำเป็นต้องอาศัยกฎหมายหลักฉบับใดฉบับหนึ่งว่าให้อำนาจองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการดำเนินการด้วย
๓.เนื่องจากขณะนี้คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอยู่ระหว่างการพิจารณาศึกษาเพื่อปรับปรุงแก้ไขอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ครอบคลุมและเหมาะสมมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ หากมีการปรับปรุงแก้ไขอำนาจหน้าที่ให้สามารถสมทบเงินกองทุนได้ ก็ย่อมสามารถแก้ไขปัญหาเรื่องการสมทบเงินกองทุนฯ ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
๔.กองทุนฯ ควรพิจารณาการจัดสวัสดิการขั้นพื้นฐานที่ไม่ซ้ำซ้อนกับสวัสดิการที่รัฐจัดให้อยู่แล้ว ๕. ควรจัดให้มีหน่วยงานกลางทำหน้าที่ในการรวบรวมสภาพปัญหา ข้อดี ข้อเสียต่างๆ ของการดำเนินงานกองทุนฯ และนำเสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่เป็นรูปธรรมต่อไป
๖.การสนับสนุนในการใช้แนวคิดเรื่องหลักบุญ มาเป็นแนวคิดพื้นฐานในการบริหารจัดการกองทุนฯอย่างไรก็ดี เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและตรวจสอบได้ จึงเสนอให้สร้างตัวชี้วัดเรื่องบุญ และการทำความดี เพื่อให้เกิดความเป็นรูปธรรม ชัดเจน และตรวจสอบได้
๗.ข้อเสนอให้รัฐบาลสมทบเงินกองทุนด้วยอัตรา ๑ : ๑ ต่อคนต่อปีตามมติคณะรัฐมนตรี ซึ่งคิดเป็นงบประมาณ ๒๐,๐๐๐ ล้านบาทนั้น ควรต้องพิจารณากำหนดเกณฑ์เรื่องรายได้ของประชาชนประกอบด้วย เพื่อให้กองทุนฯ สามารถ
ช่วยเหลือผู้ยากไร้ ซึ่งตรงตามวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของกองทุนฯ
ร่วมแสดงความคิดเห็นได้ที่คณะกรรมาธิการการสังคม เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส สภานิติบัญญัติแห่งชาติโทร.๐ ๒๘๓๑ ๙๒๒๕-๖ โทรสาร ๐ ๒๘๓๑ ๙๒๒๖
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี