(ต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว)
๔.๒ ความมั่นคงด้านสังคม ได้แก่ การพัฒนาต่อยอดอาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุที่บ้าน (อผส.) วัยใสเป็นแกนนำครอบครัวข้ามรุ่นอบอุ่น ภายใต้โครงการครอบครัวข้ามรุ่น (เป้าหมายหลักของโครงการ คือครอบครัวข้ามรุ่นจำนวน ๖๕ ครอบครัว) โดยออกแบบกิจกรรมสานใยครอบครัวโดยใช้อาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุ รุ่นเยาว์ (Care giver Junior) ให้เป็นกลไกในการขับเคลื่อนเด็กและเยาวชนในครอบครัวข้ามรุ่นและสร้างครอบครัวอบอุ่นซึ่งสอดคล้องตามคุณลักษณะสำคัญ ๑๒ ประการครอบครัวอบอุ่นตำบลห้วยงู และติดตามประเมินผลครอบครัวเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงจำนวน ๗ ประการต่อต้านครอบครัวอบอุ่น และการกำหนดแนวทางการประเมินครอบครัวอบอุ่น นอกจากนี้ยังจัดทำโครงการบ้านคืนสุขผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงตำบลห้วยงูโดยการพัฒนาศักยภาพของผู้ดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งปัจจุบันมีครอบครัวที่มีผู้สูงอายุติดบ้านและติดเตียงจำนวน ๖๓ คน โดยการอบรมให้ความรู้อาสาสมัครผู้ดูแลผู้สูงอายุเพื่อพร้อมให้บริการดูแลผู้สูงอายุที่บ้าน นอกจากนี้ ยังมีการตรวจประเมินสุขภาพ วางแผนดูแลสุขภาพ เพื่อให้สามารถกลับมาฟื้นฟูตัวเองได้ (ปัจจุบันมีผู้สูงอายุติดบ้านจำนวน ๑๒ ครอบครัวสามารถกลับมาฟื้นฟูตัวเองได้)
๔.๓ ความมั่นคงด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ การส่งเสริมการประกอบอาชีพของครอบครัวในชุมชนตำบลห้วยงู และการสนับสนุนทุนการส่งเสริมอาชีพที่สร้างคุณค่าให้กับผู้สูงอายุในสังคม เช่น การทำดอกไม้จันทน์ พวงหรีด ของชำรวย น้ำยาล้างจาน น้ำยาปรับผ้านุ่ม เป็นต้น และการมอบทุนความสำเร็จให้แก่ผู้สูงอายุที่เรียนจบหลักสูตรต่างๆ ของโรงเรียนสร้างสุขในตำบลห้วยงู
๔.๔ ความมั่นคงด้านสวัสดิการ ได้แก่ การสนับสนุนให้ประชาชนนำขยะมาแลกสวัสดิการชุมชน เพื่อรับสวัสดิการในผู้ยากไร้ การสำรวจคุณภาพชีวิตในครอบครัวสวัสดิการแห่งรัฐโดยเฉพาะผู้สูงอายุ และปฐมวัยและการนำสิ่งของที่จำเป็นให้กับครอบครัวผู้ยากไร้และเปราะบางในชุมชน
๔.๕ ความมั่นคงด้านสิ่งแวดล้อม ได้แก่ การสนับสนุนให้ผู้สูงอายุในชุมชนปรับที่อยู่อาศัยให้เอื้อต่อการใช้ชีวิตประจำวัน การระดมทุนเครือข่ายชุมชนปรับบ้านให้เหมาะสมกับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง และการซ่อมแซมบ้านให้ครอบครัวผู้สูงอายุและผู้ยากไร้แบบพอเพียง
๕. การสร้างชมรมผู้สูงอายุให้มีความเข้มแข็ง โดยการถอดบทเรียนของพื้นที่ที่ประสบความสำเร็จเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งชมรมผู้สูงอายุในชุมชนทั้งอำเภอหันคา
นอกจากนี้ในประเด็นอื่น ๆ ดังนี้
- การมอบทุนการศึกษาให้กับนักเรียนนั้น ได้กำหนดหลักเกณฑ์ในเบื้องต้นคือ ผู้นั้นจะต้องเป็นสมาชิกของกองทุนและมีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่ตำบลห้วยงู ทั้งนี้ จะพิจารณาให้ทุนแก่สมาชิกตั้งแต่การศึกษาในระดับอนุบาลถึงระดับปริญญาตรี ทุนละ ๕๐๐ บาทและปีต่อไปทุนละ ๘๐๐ บาท
- กองทุนได้บริหารงานโดยอาศัยการเชื่อมโยงและประสานงานกันระหว่างเครือข่ายทั้งในและนอกพื้นที่ ซึ่งรวมถึงวัดในชุมชนด้วย ดังนั้น พระภิกษุจึงเห็นความสำคัญของกองทุนเช่นเดียวกัน ส่วนกลุ่มคนพิการ แม้ว่ากองทุนจะมีความเสี่ยงต่อกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้พิการ แต่กองทุนก็ยังพิจารณาให้การช่วยเหลือเช่นเดียวกับสมาชิกคนอื่นๆ เนื่องจากดำเนินงานตามแนวคิด “กองทุนและกองบุญ”
- ปัจจุบันกองทุนมีสมาชิกซึ่งคลอบคลุมทั้ง ๑๑ หมู่บ้าน จำนวนทั้งสิ้น ๑,๑๔๘ คน คิดเป็นร้อยละ ๒๕ จากประชากรทั้งสิ้นจำนวน ๕,๗๐๐ คน สำหรับเหตุผลของผู้ที่มิได้สมัครเป็นสมาชิก อาจเนื่องจากแต่ละหมู่บ้านได้มีการจัดสวัสดิการให้แก่คนในชุมชนอยู่แล้ว เช่น ฌาปนกิจหมู่บ้าน นอกจากนี้ สาเหตุอาจเกิดจากภาวะเศรษฐกิจของครอบครัว อย่างไรก็ตาม กองทุนได้ส่งเสริมการออมให้ประชาชนในพื้นที่ เช่น การหารายได้จากการคัดแยกขยะเพื่อนำมาจ่ายเป็นค่าสมาชิกกองทุน ซึ่งถือเป็นการจูงใจให้ประชาชนในพื้นที่สนใจที่จะเข้ามาเป็นสมาชิกกองทุนเพิ่มมากขึ้น
- ปัจจุบันกองทุนได้ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐที่มีภารกิจด้านผู้สูงอายุหลายหน่วยงาน เช่น สาธารณสุขจังหวัด พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หน่วยงานกาชาดและศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุวาสนะเวศม์ฯในการฝึกอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุ
- ตามที่ที่ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) ซึ่งมีนายกอบศักดิ์ ภูตระกูลรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้พิจารณา๓ นโยบายสำคัญ โดยหนึ่งในนั้นคือการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง(ผู้ป่วยติดเตียง) ภายใต้โครงการท้องถิ่นทั่วไทยผู้สูงอายุมีคนดูแล ประกอบกับทุกวันนี้ประเทศไทยมีผู้ป่วยติดเตียงประมาณ ๒ แสนรายและมีผู้ป่วยติดบ้านที่ในอนาคตจะพัฒนามาเป็นผู้ป่วยติดเตียงอีกกว่า ๓ แสนราย และที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือในอนาคตทุกคนจะต้องกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง ดังนั้น รัฐบาลจึงได้ตระหนักต่อสถานการณ์ดังกล่าวและมองว่าผู้สูงอายุทุกคนในประเทศไทยควรจะมีคนดูแล จึงได้ร่วมกันหารือถึงการปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบต่างๆ รวมถึงการจัดสรรงบประมาณให้เหมาะสมในการสร้างนักบริบาลทั่วประเทศไทยเข้าไปดูแลประชาชนตามชุมชนต่างๆ รวมทั้งเปิดโอกาสให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สามารถดำเนินการในเรื่องดังกล่าวได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายโดยมีระเบียบรองรับ และที่ผ่านมากรมอนามัยได้พัฒนาอาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุ(Care giver) จำนวนกว่า ๕ หมื่นคน ในปี ๒๕๖๑ โดยมีเป้าหมาย อาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุ (Care giver) ๑ คนต่อผู้สูงอายุเป้าหมายจำนวน ๕-๑๐ คน ซึ่งแนวคิดดังกล่าวมีความสอดคล้องกับแนวคิดของกองทุน
ปัญหาและอุปสรรคสำคัญในการดำเนินงานของกองทุน
๑.การเปลี่ยนแปลงนโยบายและหลักเกณฑ์/เงื่อนไขในการสมทบเงินกองทุนจากภาครัฐ เนื่องจากเดิมรัฐสมทบเงินเข้ากองทุนเป็นเงินจำนวน ๓๖๐ บาทต่อสมาชิก ๑ คน ต่อ ๑ ปี และสมทบเป็นเวลา ๓ ปีติดต่อกัน แต่ต่อมามีการปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์/เงื่อนไขทำให้กองทุนได้รับเงินสมทบจากภาครัฐลดลง ส่งผลกระทบต่อการบริหารจัดการกองทุน ดังนั้น จึงเห็นควรให้มีการปรับปรุงแก้ไขหลักเกณฑ์/เงื่อนไขในการสมทบเงินกองทุนจากภาครัฐดังกล่าว เพื่อให้กองทุนเกิดความมั่นคงและยั่งยืน
๒.เนื่องจากที่ผ่านมาสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ทักท้วงแนวทางการเบิกจ่ายเงินเพื่อสมทบของเทศบาลว่าไม่มีกฎหมายรองรับ แต่กลับมีเพียงหนังสือสั่งการของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ส่งผลให้เทศบาลเกิดความไม่มั่นใจในการสนับสนุนงบประมาณเพื่อสมทบกองทุน ดังนั้น จึงเห็นควรให้ผลักดันให้มีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายและระเบียบให้มีความเหมาะสมและเอื้อต่อการดำเนินงานของกองทุน ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน
ข้อคิดเห็นของที่ประชุม
๑.เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยมีจำนวนผู้สูงอายุเกินกึ่งหนึ่งเป็นคนพิการ ดังนั้น จึงเห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลให้ครอบคลุมโดยคำนึงประชาชนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายที่ทับซ้อนและแยกส่วนกันอยู่ ซึ่งได้แก่ ผู้สูงอายุและคนพิการ โดยเชื่อมโยงและบูรณาการงานคุ้มครอง ช่วยเหลือ และการให้บริการงานด้านผู้สูงอายุและคนพิการร่วมกันเพื่อนำไปสู่การจัดทำแผน โครงการ และกิจกรรมแบบองค์รวม เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย
๒.ผู้นำท้องถิ่นที่มีความเข้มแข็ง ถือเป็นปัจจัยหลักที่ส่งเสริมให้ชุมชนและกองทุนดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
๓.สนับสนุนแนวคิดในการจัดทำโครงการครอบครัวข้ามรุ่น โดยผลักดันให้อาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุรุ่นเยาว์ (Care giver Junior) เป็นกลไกในการขับเคลื่อนงาน อย่างไรก็ตาม อาจมีข้อจำกัดเรื่องเวลาในการดูแลผู้สูงอายุเนื่องจากต้องไปโรงเรียน นอกจากนี้ ยังควรพิจารณาแนวทางการพัฒนาศักยภาพและความก้าวหน้าในอาชีพของอาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุรุ่นเยาว์ (Care giver Junior) ให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กฎหมายกำหนดด้วย
๔.โรงเรียนผู้สูงอายุ ถือเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนงานด้านผู้สูงอายุที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ทั้งนี้ ควรต้องพิจารณาดำเนินงานให้เหมาะสมตามบริบทของพื้นที่นั้น นอกจากนี้ยังควรพิจารณาหลักสูตรการเรียนการสอนให้เหมาะสม โดยอาจใช้ภูมิปัญญาของผู้สูงอายุมาเป็นวิทยากรสอนเด็กเพื่อสร้างคุณค่าให้กับผู้สูงอายุ อีกทั้งยังเป็นการสร้างสัมพันธภาพที่ดีระหว่าง
เด็ก เยาวชน และผู้สูงอายุ
ร่วมแสดงความคิดเห็นได้ที่คณะกรรมาธิการการสังคม เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาสสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โทร.๐๒-๘๓๑๙๒๒๕-๖ โทรสาร๐๒-๘๓๑๙๒๒๖
สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ถนนอู่ทองใน ดุสิต กทม. 10300 email : dek_senate@hotmail.co.th หรือ Facebook: กมธ.พัฒนาสังคม
หรือ กลุ่มงานคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและกิจการเด็กฯ วุฒิสภา โทร.02-831-9225-6 แฟกซ์ 02-831-9226
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี