บทเรียนจากถ้ำหลวงอีกอันหนึ่งคือ การว่ายน้ำเป็น ถึงแม้ต่อมาทราบว่าทีมหมูป่าว่ายน้ำเป็นก็ตาม
ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ! การจมน้ำเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เด็กไทย (ต่ำกว่าอายุ 15 ปี) เสียชีวิตสูงเป็นอันดับหนึ่งมาตลอด มากกว่าทุกสาเหตุ ทั้งจากโรคติดเชื้อและไม่ติดเชื้อ เฉลี่ยปีละ 1,015 คน (ปี พ.ศ.2550-2559) ซึ่งลดลงมากกว่าร้อยละ 50 นับตั้งแต่ปลายปี 2549 สำหรับ ปี พ.ศ.2559 (ณ วันที่ 9 ตุลาคม 2560) มีการเสียชีวิต 713 คน หรืออัตราต่อประชาชนแสนคนเท่ากับ 6.2
สำหรับระดับโลก รายงานการจมน้ำขององค์การอนามัยโลก พบว่า การจมน้ำในเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี เป็นสาเหตุการเสียชีวิตเป็นอันดับ 3 รองจากโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ (meningitis) และเอดส์ (HIV) โดยมีจำนวนการเสียชีวิตปีละ 140,219 คน!
สำหรับประเทศไทย 10 ปีที่ผ่านมา มีเด็กจมน้ำเสียชีวิต 9,574 คน (ปี พ.ศ.2560 = 708 คน) กลุ่มเด็กอายุ 5-9 ปีเสียชีวิตสูงสุดร้อยละ 40.5 เด็ก 0-2 ปีร้อยละ 20 เพศชายมากกว่าเพศหญิง 2 เท่า เมษายนเป็นเดือนที่จมน้ำสูงสุด คือ เฉลี่ย 121 คน แหล่งน้ำตามธรรมชาติพบว่าจมน้ำสูงสุดร้อยละ 44.9(WHO) การจมน้ำของโลก ทุกปีมีผู้เสียชีวิตจากการจมน้ำ 372,000 คน มากกว่าครึ่งมีอายุต่ำกว่า 25 ปี การจมน้ำเป็น 1 ใน 10 สาเหตุนำการเสียชีวิตของคนอายุ 1-24 ปี
ด้วยเหตุนี้เองกระทรวงสาธารณสุขจึงกำหนดให้วันเสาร์แรก ของเดือนมีนาคมของทุกปีเป็นวันรณรงค์ป้องกันเด็กจมน้ำ โดยในปี พ.ศ.2561 นี้ตรงกับวันเสาร์ ที่ 3 มีนาคม ซึ่งปีนี้ได้กำหนดหัวข้อที่ใช้ในการรณรงค์ คือ “บ้านเริ่ม ชุมชนร่วม : พื้นที่ปลอดภัยเด็กไม่จมน้ำ” โดยมีแนวคิดให้ครอบครัว เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างความปลอดภัยทางน้ำ และชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินงาน เพื่อให้เกิดความเข้มแข็งและชุมชนพึ่งตัวเองได้ การจมน้ำเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เด็กไทยเสียชีวิตสูงเป็นอันดับหนึ่งมาตลอด โดยเฉพาะในช่วงปิดเทอมใหญ่ภาคฤดูร้อน 3 เดือน มีนาคม- พฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงที่มีเด็กจมน้ำเสียชีวิตมากที่สุด คือ ประมาณ 1 ใน 3 ของการจมน้ำเสียชีวิตของเด็กตลอดทั้งปี จากข้อมูลสาธารณสุขพบว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี จมน้ำเสียชีวิตในช่วงปิดเทอมใหญ่เฉลี่ย 334 รายต่อปี ปี พ.ศ.2560 มีเด็กจมน้ำเสียชีวิต 708 ราย โดยเป็นการจมน้ำเสียชีวิตในช่วงปิดเทอมใหญ่ถึง 254 ราย หรือร้อยละ 35.9 และเด็กที่จมน้ำส่วนใหญ่เป็นเด็กอายุ 5-9 ปี กรมควบคุมโรคพบว่าสาเหตุของการจมน้ำในช่วงปิดเทอมใหญ่เนื่องจากเด็กชวนกันไปเล่นน้ำกันเองตามลำพัง โดยในปีที่ผ่านมาพบว่าร้อยละ 42.1 ชวนกันไปเล่นน้ำเป็นกลุ่มตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป และพบว่ามีเด็กจมน้ำเสียชีวิตพร้อมกัน 3 คนถึง 4 เหตุการณ์ และ 2 คนถึง 10 เหตุการณ์ พบมากที่สุดในจังหวัดพื้นที่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วงเวลาที่เกิดเหตุสูงสุด คือ ช่วงกลางวันเวลา 12.00-14.59 น. จึงขอเตือนผู้ปกครองว่าในช่วงนี้ให้ดูแลเด็กอย่างใกล้ชิด อย่าปล่อยให้เด็กชวนกันไปเล่นน้ำกันเองตามลำพัง และขอให้ทุกชุมชนดำเนินการดังนี้ 1) สำรวจแหล่งน้ำเสี่ยงในชุมชน 2) เฝ้าระวังและแจ้งเตือนในชุมชน เช่น ประกาศเสียงตามสาย คอยตักเตือน เมื่อเห็นเด็กเล่นน้ำตามลำพัง 3) จัดการแหล่งน้ำเพื่อให้เกิดความปลอดภัย เช่น สร้างรั้ว ติดป้ายคำเตือน จัดให้มีอุปกรณ์ช่วยคนตกน้ำไว้บริเวณแหล่งน้ำเสี่ยง เช่น ถังแกลลอนเปล่าผูกเชือก ขวดน้ำพลาสติกเปล่า ไม้ และ 4) สอนให้เด็กรู้จักแหล่งน้ำเสี่ยงและอันตรายที่อาจเกิดขึ้น
ผมมีความเห็นว่าประเทศไทย รัฐบาลต้องสนับสนุนให้เด็กๆ ทุกๆ คน และผู้ใหญ่ ว่ายน้ำให้เป็นและเก่ง ด้วยการสร้างสระว่ายน้ำใหญ่ๆ ไว้ในทุกอำเภอ และค่อยๆ ขยายไปยังทุกตำบล รวมทั้งสนับสนุนให้มีครูฝึกสอนการว่ายน้ำต่างๆ ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมให้เด็กๆ ทุกๆ คนว่ายน้ำเป็น เพื่อลดอัตราการเสียชีวิตจากการจมน้ำ และยังเป็นการกระตุ้น สนับสนุนให้ประเทศไทยมีนักกีฬาทางน้ำที่เก่ง รวมทั้งรัฐบาลควรสนับสนุนให้โรงเรียนทุกโรงเรียนมีสระว่ายน้ำ และมีสนามกีฬาสำหรับกีฬาทุกประเภท เช่น ฟุตบอล เทนนิส แบดมินตัน บาสเกตบอล วอลเลย์บอล ฯลฯ
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี