4 ม.ค.61 สำนักข่าว BBC ของอังกฤษ นำเสนอรายงานพิเศษเรื่อง “Liberia's big school experiment” (ไลบีเรีย : การทดลองครั้งใหญ่เพื่อปฏิรูปการศึกษา) ว่าด้วยอนาคตของประเทศไลบีเรีย ที่เพิ่งเฉลิมฉลองการได้อดีตนักฟุตบอลผู้เป็นตำนานของชาติอย่าง จอร์จ เวอาห์ (George Weah) วัย 51 ปี มาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีไปเมื่อช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปี 2560 ทว่าประเทศแห่งนี้มีเด็กๆ ต้องออกจากโรงเรียนกลางคันในสัดส่วนที่สูง
รายงานข่าวระบุว่า รัฐบาลไลบีเรียมีนโยบายปรับปรุงคุณภาพของโรงเรียนที่ “เพิ่มบทบาทของหน่วยงานนอกภาครัฐในการเข้ามาบริหารจัดการโรงเรียนของรัฐ” กลายเป็นข้อถกเถียงอย่างกว้างขวาง โดยฝ่ายที่สนับสนุนมองว่านี่จะเป็นการตัดสินใจอย่างกล้าหาญเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา แต่ฝ่ายที่คัดค้านชี้ว่าแนวทางดังกล่าวจะนำไปสู่การแปรรูปโรงเรียนของรัฐบาลให้ไปอยู่ในมือของภาคเอกชน
“จอร์จ เวอาห์” (George Weah) ประธานาธิบดีคนล่าสุดของไลบีเรีย
เดวิด ลอวส์ (David Laws) อดีตรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการของอังกฤษ ในฐานะประธานเครือข่าย Education Partnerships Group ซึ่งเป็นที่ปรึกษารัฐบาลไลบีเรียในโครงการดังกล่าว ระบุว่า ไลบีเรียเป็น 1 ในประเทศยากจนมากของโลก การศึกษาชองที่นี่มีปัญหาทั้งด้านการเข้าถึงและด้านคุณภาพ เด็กๆ ชาวไลบีเรียที่จบระดับประถมศึกษามีน้อยกว่าร้อยละ 40 ขณะที่หญิงชาวไลบีเรียที่เคยผ่านชั้นประถมศึกษามีเพียง 1 ใน 4 เท่านั้นที่สามารถอ่านได้เขียนคล่อง
สำหรับโครงการปฏิรูปการศึกษาของไลบีเรีย ในปี 2560 ที่ผ่านมา รัฐบาลไลบีเรียตัดสินใจที่จะถ่ายโอนสิทธิการบริหารจัดการโรงเรียนของรัฐบาลจำนวน 93 แห่ง ให้กับผู้ประกอบการเอกชน 8 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการโรงเรียนนานาชาติ อย่างไรก็ตาม โรงเรียนเหล่านี้ยังคงมีสถานะเป็นโรงเรียนของรัฐบาล ใช้ครูที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ และไม่เสียค่าบำรุงการศึกษา
โดยจะมีการประเมินว่าภาคเอกชนนั้นสามารถจัดการเรียนการสอนได้ดีกว่ารัฐบาลหรือไม่? ผ่านการศึกษาของทีมวิจัยจากสหรัฐอเมริกา อาทิ Center for Global Development กรุงวอชิงตัน ดีซี และ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตซานดิเอโก (UC San Diego) มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ทำการเลือกนักเรียนจำนวน 3,499 คน จาก 185 โรงเรียน มาเป็นกลุ่มตัวอย่างในการทดลองครั้งนี้
รายงานข่าวยังกล่าวต่อไปว่า 1 ปีแรกของการทดลอง พบว่า “เด็กๆ ในโรงเรียนนำร่องของโครงการมีผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาดีขึ้น” มากกว่าครึ่งปีการศึกษาในวิชาภาษาอังกฤษ และ 2 ใน 3 ของปีการศึกษาในวิชาคณิตศาสตร์ อีกทั้งอัตราการเรียนรู้เฉลี่ยยังเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 60 เมื่อเทียบกับโรงเรียนอื่นๆ ของรัฐบาลที่ไม่ได้อยู่ในโครงการ ทั้งที่นักเรียนใช้เวลาเรียนเพียง 2 ครั้งต่อสัปดาห์
สภาพภายใน “กรุงมอนโรเวีย” (Monrovia) เมืองหลวงของไลบีเรีย ประเทศที่ยากจนเป็นอันดับต้นๆ ของโลก
ทว่าหากจะให้สรุปว่าวิธีการเช่นนี้ “ดีแล้วหรือไม่?” สำหรับการนำไปขยายผลทั่วทั้งประเทศ รายงานข่าวเฉลยว่า “มันไม่ง่ายอย่างที่คิด” เพราะแม้เด็กๆ ชาวไลบีเรียในโครงการจะเรียนดีขึ้น แต่ก็มี “ราคาที่ต้องจ่าย” สูงขึ้นไปด้วย โดยเด็กๆ ในโรงเรียนรัฐบาลทั่วๆ ไป จะได้รับเงินอุดหนุนทางการศึกษารายหัว “เพียงไม่เกินปีละ” 50 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1,600 บาท
ตรงข้ามกับโรงเรียนนำร่องที่เด็กแต่ละคนจะได้เงินอุดหนุนรายหัว “อย่างน้อยถึงปีละ” 50 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1,600 บาท โดยมาจากผู้สนับสนุนจากภายนอกรวมถึงผู้ประกอบการเอกชนเอง ทั้งนี้ผู้ประเมินระบุว่า ผู้ประกอบการบางรายใช้งบประมาณสูงถึง 1 พันเหรียญสหรัฐ หรือราว 33,000 บาท เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของเด็ก 1 ราย
กล่าวโดยสรุปก็คือ..โครงการให้เอกชนเข้ามาจัดการเรียนการสอนนั้นมีค่าใช้จ่ายสูงมากในช่วงเริ่มต้น แต่ก็อาจลดลงได้เมื่อเวลาผ่านไป อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลสามารถหางบประมาณมาอุดหนุนเพิ่มเติม หรือบรรดาผู้ใจบุญเข้ามาร่วมบริจาคเงินเพื่อเติมเต็มส่วนที่ขาด ก็สามารถดำเนินการขยายโครงการให้กว้างขวางออกไปได้เต็มที่ อนึ่ง..โครงการนี้รัฐบาลไลบีเรียใช้ครูถึงร้อยละ 37 เข้าร่วมกับโรงเรียนนำร่อง ดังนั้นหากจะนำโครงการไปใช้แบบขยายผล ก็มีความจำเป็นต้องฝึกอบรมคนมาเป็นครูเพิ่มขึ้นด้วย
ถึงกระนั้นการทดลองครั้งนี้ก็พบผลลัพธ์ที่น่าสนใจบางอย่าง นั่นคือ “ผู้ประกอบการที่มีต้นทุนต่ำที่สุด กลับทำให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาได้ดีที่สุด” ดังนั้นอาจตีความได้ว่า การทำให้เด็กๆ ได้รับการศึกษาที่ดีนั้นเรื่องเงินๆ ทองๆ คงไม่ใช่คำตอบทั้งหมดเสมอไป แต่มีตัวแปรอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนการสอนด้วย ซึ่งการทดลองนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น โดยโครงการจะได้ข้อสรุปอย่างสมบูรณ์ในอีก 2 ปีข้างหน้า และผลการทดลองอาจเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงเวลาก็เป็นได้
ในมุมหนึ่ง ไลบีเรียต้องการความมั่นใจว่าสามารถควบคุมและบริหารจัดการผู้ประกอบการเอกชน ท่ามกลางสภาวะของประเทศที่ภาครัฐมีศักยภาพจำกัด แต่ในสายตานักปฏิรูปการศึกษาทั่วโลก รวมถึงเด็กๆ ชาวไลบีเรีย นี่คือ “ความท้าทาย” ในการเสริมสร้างขีดความสามารถของภาครัฐพร้อมๆ ไปกับการลดต้นทุน ซึ่งทั้ง 2 ด้านมีความจำเป็นหากพบว่าการทดลองใหญ่ครั้งนี้สามารถ “พลิกโฉมหน้า” การศึกษาของไลบีเรียได้อย่างแท้จริง
สำหรับไลบีเรีย ประเทศที่อยู่ในอันดับ 4 ของการจัดอันดับ “ประเทศที่ยากจนที่สุดโลก” เมื่อปี 2559 โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ความฝันที่จะเห็นเด็กๆ ที่นี่มีการศึกษาสูงขึ้นอาจดูแล้ว “เลือนราง” แต่ก็ต้องขอเอาใจช่วย ปธน. คนใหม่ ให้สามารถแก้ไขวิกฤติดังกล่าวจนสำเร็จลุล่วงด้วยดี!!!
-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-
เรียบเรียงจาก : http://www.bbc.com/news/business-42413639
ขอบคุณข้อมูลเพิ่มเติม :
https://www.gfmag.com/global-data/economic-data/the-poorest-countries-in-the-world?page=12
http://www.bbc.com/news/world-africa-42507405
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี