กลายเป็นเรื่องทอล์กออฟเดอะทาวน์ไปในทันที หลังจากที่มีการเผยแพร่ข่าว ตำรวจไทยโชว์ผลงานจับกุม นายชิเกฮารุ ชิเรอิ อายุ 74 ปี ที่มีการระบุว่าเป็นหัวหน้าแก๊ง“ยามากูชิ กูมิ” แก๊งยากูซ่าอันดับหนึ่งของญี่ปุ่น หลังก่อคดีร่วมกับพวกอีก 7 คน ยิงหัวหน้าแก๊งคู่อริเสียชีวิต แล้วหลบหนีมากบดานในประเทศไทยเป็นเวลากว่า 10 ปี ซึ่งระหว่างนี้ ยังได้ภรรยาเป็นคนไทยอีกด้วย แต่ตอนนี้ก็ได้เลิกรากันไปแล้ว พร้อมกันนี้ ยังมีข้อมูลว่า ลูกน้องที่อยู่ที่ญี่ปุ่น ได้ส่งเงินมาให้ครั้งละประมาณ 1 หมื่นบาท ปีละ 2-3 ครั้ง
การจับกุมในครั้งนี้ เริ่มจากการที่ผู้ใช้เฟซบุ๊ครายหนึ่ง ที่มีความชื่นชมรอยสักที่สวยงามของนายชิเนฮารุ ที่ได้สักไว้เต็มตัว จึงได้โพสต์ภาพลงในเฟซบุ๊ค เมื่อช่วงเดือนสิงหาคม 2560 จากนั้น ภาพดังกล่าวได้ถูกเผยแพร่เป็นวงกว้างทางสื่อสังคมออนไลน์ และมีผู้ให้ข้อมูลผ่านความคิดเห็นว่า พบบุคคลตามภาพเป็นชาวญี่ปุ่น อาศัยอยู่กับภรรยาชาวไทย อยู่ที่ จ.ลพบุรี
ต่อมา สำนักงานกลางตำรวจสากลโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ได้แจ้งประสานขอตรวจสอบข้อมูล นายชิเกฮารุ ซึ่งเป็นผู้ต้องหาคดีฆ่าผู้อื่น ขอให้ตรวจสอบว่าอยู่ในประเทศไทยหรือไม่ ซึ่งทาง ตำรวจกองการต่างประเทศ(ตท.) ได้ประสาน กับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง(ตม.) ตรวจสอบแล้วไม่พบข้อมูลแต่อย่างใด
จากนั้น วันที่ 20 พฤศจิกายน 2560 ตำรวจจากกองการต่างประเทศ ตรวจสอบภาพที่มีการเผยแพร่ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ เป็นชาวญี่ปุ่น มีลายสักเต็มตัว และได้รับการยืนยันว่าเป็น นายชิเกฮารุ หัวหน้าแก๊งยากูซ่าคนสำคัญ ที่ทางตำรวจญี่ปุ่นต้องการตัว จึงประสานงานเข้าจับกุมได้ในเวลาต่อมา ที่บริเวณสนามหมากรุกด้านข้างศาลลุกศร ต.ท่าหิน อ.เมืองลพบุรี ขณะนั่งเล่นหมากรุกเมื่อช่วงเย็นวันที่ 10 มกราคม ที่ผ่านมา
ทางด้าน ชาวบ้านที่อยู่ในบริเวณสนามหมากรุกดังกล่าว เล่าว่า เห็น นายชิเกฮารุ มานาน ซึ่งทุกวันจะมานั่งเล่นหมากรุกและช่วยล้างตัวหมากรุก กลุ่มคนที่มาเล่นหมากรุกก็จะให้ค่าจ้างครั้งละ 20-50 บาท และในทุกเช้านายชิเกฮารุ ก็จะเก็บกวาดใบไม้บริเวณลานที่เล่นหมากรุกจนสะอาดทุกวัน และนายชิเกฮารุ อาศัยที่พักสายตรวจเก่าของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ไม่ได้ใช้แล้ว เป็นพื้นที่หลับนอนมานานกว่า 7 เดือน
ส่วนฉายาที่ชาวบ้านเรียกนายชิเกฮารุจนติดปากคือ “โกโบริ” พระเอกที่เป็นทหารชาวญี่ปุ่นจากนิยาย“คู่กรรม” หรือบางครั้งก็จะเรียกว่า“ยากูซ่า” ซึ่งมาจากรอยสักรอยตัว ซึ่งแกก็จะนิ่งเฉยไม่มีอาการอะไร และเป็นที่รักของคนแถวนี้
ทั้งนี้ นายชิเกฮารุ ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยแจ้ง 3 ข้อหา คือ หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายตาม พ.ร.บ.การเข้าเมือง, อยู่ในราชอาณาจักโดยไม่ได้รับอนุญาต และเป็นคนต่างด้าวไม่แจ้งที่พักต่อเจ้าหน้าที่ ซึ่งจะต้องนำตัวส่งฟ้องศาลก่อนส่งตัวให้กับทางตำรวจญี่ปุ่นต่อไป
การจับกุมชายชราที่ถูกระบุว่าเป็นหัวหน้าแก๊งยากูซ่าที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดกลุ่มหนึ่งในญี่ปุ่นครั้งนี้ ถูกตั้งข้อสังเกตจากสังคมไทยเป็นอย่างมาก โดยส่วนหนึ่งไม่ปักใจเชื่อว่า นายชิเกฮารุ จะเป็นยากูซ่าขาใหญ่ โดยยกเอาเหตุผลต่างๆ มาประกอบกันหลายข้อ อาทิ มีความคิดเห็นว่า หากเป็นระดับใหญ่จริงๆ ก็ไม่น่าจะโดนจับกุมได้ง่ายดายคาลานหมากรุกอย่างนี้ รวมทั้งสภาพความเป็นอยู่ของนายชิเกฮารุ ก็เป็นไปด้วยความยากลำบากเกินกว่าที่จะเป็นผู้มีอิทธิพลที่มีลูกน้องกว่า 2 หมื่นคน และเงินจากญี่ปุ่นที่ส่งมาให้ใช้นั้น ก็น้อยนิด ไม่สมฐานะเอาเสียเลย
หนึ่งในผู้ที่แสดงความคิดเห็นในเชิงที่ไม่เชื่อว่า นายชิเกฮารุ จะเป็นหัวหน้ายากูซ่าแก๊งใหญ่ของเมืองปลาดิบก็คือ ธนากร ใจสุขสกุลดี ซึ่งเป็นล่ามชาวไทยผู้ที่อาศัยอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น ที่มีผู้ติดตาม กว่า 5.1 หมื่นคน โพสต์ข้อความผ่านเฟุซบุ๊ค@Thanakorn Jaisuksakuldee ระบุ ว่า นายชิเกฮารุ ไม่ใช่หัวหน้าแก๊งหรือไม่ได้เป็นแม้กระทั่งหัวหน้าสาขาของแก๊ง ยามากูชิ กูมิ แต่อย่างใด ความจริงแล้ว เป็นแค่สมาชิกธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นเอง โดยตนได้โทรศัพท์ไปสอบถามกับเพื่อนทนายความชาวญี่ปุ่นที่เมืองนาโกย่าแล้วล่ะครับ เพื่อนทนายความยืนยันมาแล้วแบบร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มว่า นายชิเกฮารุเป็นแค่สมาชิกแก๊งยากูซ่าระดับปลายแถวคนหนึ่งเท่านั้น หรือเรียกว่า “จิมปิระ” หรืออันธพาลชั้นปลายสุดของกลุ่มยากูซ่า ข่าวภาษาญี่ปุ่นก็รายงานว่า นายชิเกฮารุ ปฏิเสธคดีอาญาในทุกข้อกล่าวหา
ล่ามชาวไทยผู้นี้ระบุผ่านเฟซบุ๊คต่อไปว่า สื่อท้องถิ่นของญี่ปุ่นจาก จ.มิเอะ รายงานว่า ในเดือนกรกฎาคม ปี 2003 นายชิเกฮารุกับพรรคพวกแกก็คงจะแค่ได้รับคำสั่งมาจากหัวหน้าใหญ่คนใดคนหนึ่งที่เราไม่มีทางรู้หรอกว่าเป็นใครและชื่ออะไร ให้จัดการสังหารหัวหน้าแก๊งโคโดไค สาขาเมืองนาโกย่า ซึ่งถือเป็นแก๊งย่อยของ แก๊งยามากูชิ กูมิ ซึ่งหัวหน้าแก๊งในตอนนั้นก็คือนาย Otobe Kazuhiko อายุ 42 ปี ซึ่งมีความขัดแย้งทางด้านผลประโยชน์กับแก๊งใหญ่จากเมืองโคเบ แกจึงโดนสั่งตายในที่สุด
“ข่าวบอกว่า คุณลุงชิเกฮารุ น่าจะได้รับค่าจ้างเป็นเงินจำนวนหนึ่ง และนอกจากนั้นทางแก๊งจะเตรียมทางหนีทีไล่เอาไว้ให้ล่วงหน้า ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นตั๋วเครื่องบินและที่พักอาศัยในต่างประเทศ ส่วนใหญ่แล้วแก๊งยากูซ่าจะมีสมาชิกของแก๊งทำธุรกิจและอาศัยอยู่ในประเทศนั้นๆอยู่แล้ว ประเทศที่พวกเขานิยมส่งลูกน้องที่เป็นอาชญากรไปหลบภัยมากที่สุดก็คือ ประเทศไทยกับฟิลิปปินส์ครับ ถ้าท่านไม่เชื่อไปถามตำรวจญี่ปุ่นดูได้เลย แถวๆธนิยะ พัฒพงธ์ สีลม มีธุรกิจของพวกเขาเยอะแยะมากมาย” ธนากร ระบุ
ธนากร เล่าต่ออีกว่า ในปี 2005 นายชิเกฮารุ ได้หลบหนีคดีอาญาออกนอกประเทศและเดินทางไปยังประเทศไทยตามแผน จนถึงขณะนี้เจ้าตัวยังคงให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาของตำรวจญี่ปุ่น ก็ไม่ทราบว่าทางกรมตำรวจของไทยเรา สอบสวนแกเป็นภาษาญี่ปุ่นหรือภาษาอังกฤษ หรือภาษาไทยก็ไม่ทราบ แต่ขอยืนยัน 100%ว่า แกไม่ใช่หัวหน้าแก๊งยามากุจิอย่างแน่นอน เพราะหัวหน้าอะไรจะตกอับขนาดนั้น พาสปอร์ตก็หมดอายุแล้ว ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยยังไม่รู้แม้กระทั่งว่าแกอายุเท่าไหร่กันแน่
“ท่านคิดว่าหัวหน้าแก๊งยากูซ่าจะลดตัวเองลงไปก่อคดีแบบนั้นเหรอครับ พวกเขาคือนักธุรกิจแสนล้าน มีลูกน้องพร้อมที่จะทำงานและตายแทนอยู่แล้วมากมาย และกฏของแก๊งยากูซ่าก็คือ หัวหน้าแก๊งจะไม่จับปืนหรือลดตัวลงไปฆ่าคนด้วยตัวเองหรอกนะครับ เขาใช้วิธี สั่งตายจากสำนักงานใหญ่นะครับท่าน ขอบอกกก !! สื่อมวลชนของไทยประโคมข่าวว่า หัวหน้าแก๊งหมายเลขหนึ่งโดนจับ ผมคิดว่าป่านนี้ท่านคุณพ่อ Shinoda Kenichi เจ้าพ่อใหญ่ตัวจริงแกคงจะนั่งดูทีวีไป จิบไวน์ขวดละแสนบาทไป หัวเราะหนักมากไปด้วยอยู่ล่ะมั้งนะ 555 !!” ธนากร ระบุ
ในตอนสุดท้าย ธนากร ระบุว่า สองภาพสุดท้ายที่เขาโพสต์คือ โคตรเจ้าพ่อหัวหน้าแก๊ง ยากูซ่าหมายเลขหนึ่งของญี่ปุ่นตัวจริงเสียงจริง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
รวบหน.แก๊งยากูซ่าหนีกบดานเมืองไทย
รองผบ.ตร.ลุยสอบปากคำยากูซ่า ฆ่าหัวหน้าแก๊งคู่อริกบดานไทยกว่า10ปี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี