16 ม.ค.61 ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐบาล คสช. ประกาศโครงการบัตรคนจนเฟสที่สองแบบใหญ่โต..โดยวางแผนให้มีการสัมภาษณ์ผู้ถือบัตรเป็นรายบุคคล เพื่อวิเคราะห์สภาพปัญหา และสอบถามความประสงค์ เช่น การทำงาน การฝึกอบรมอาชีพ เป็นต้น โดยเป้าหมาย 4 มิติ 1) มิติที่ 1 การมีงานทำ เช่น โครงการช่วยหางาน โครงการช่วยหาธุรกิจแฟรนไชส์ โครงการตลาดประชารัฐ เป็นต้น
2) มิติที่ 2 การฝึกอบรมอาชีพและการศึกษา เช่น โครงการฝึกอาชีพช่างชุมชน โครงการเพิ่มอาชีพแก่เกษตรกร โครงการสอนให้ความรู้ต่างๆ 3) มิติที่ 3 การเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ เช่น กู้เงินเพื่อพัฒนาอาชีพ กู้เงินเพื่อทำธุรกิจแฟรนไชส์ กู้เงินเพื่อขายอาหารข้างถนน 4) มิติที่ 4 การเข้าถึงสิ่งจำเป็นพื้นฐาน เช่น กู้เงินเพื่อการศึกษา (กยศ.) กู้เงินเพื่อซื้อบ้าน และการออมเพื่อเกษียณอายุ
ทั้งหมดนี้เหมือนกับอ่านตำราเล่มใหญ่ มีสูตรดำเนินการนัวไปหมด แต่ถ้าจัดเป้าหมายเป็นกลุ่ม ก็จะมีเพียง 2 กลุ่ม คือ ช่วยให้คนจนเปลี่ยนอาชีพ และช่วยให้คนจนเพิ่มหนี้ ปัญหาหลักของโครงการนี้คือ ไปเน้นการสร้างฐานเสียงเพื่อสนับสนุนพรรคของ คสช. แบบเปรี้ยงป้าง ต้องการให้เกิดผลเร็ว ให้ผู้ถือบัตร 11 ล้านมีเงินประจำ และเมื่อถูกวิจารณ์ว่าเป็นการช่วยเหลือแบบสังคมสงเคราะห์ ที่ไม่ได้ทำให้คนจนยืนบนขาของตนเอง ก็เลยดัดแปลงเป็นเฟสสอง อ้างว่าจะสามารถพัฒนาคุณภาพชีวิต
ปัญหาที่เริ่มต้นกลัดกระดุมผิด ก็จะผิดต่อไปเรื่อยๆ..ต้องถามก่อนว่า การช่วยให้เปลี่ยนอาชีพ และช่วยให้เพิ่มหนี้ จะช่วยแก้ปัญหาความยากจนได้อย่างไร? ผู้ถือบัตร 11 ล้านคนขณะนี้ไม่มีงานทำหรือเปล่า? ทำงานต่ำระดับหรือเปล่า? และจะสามารถปรับปรุงเปลี่ยนงานได้จริงหรือเปล่า? สำหรับคนจนที่ว่างงาน ถ้าคิดว่า เดี๋ยวฝึกอบรมซักหน่อย เสร็จแล้วจะหางานในออฟฟิศหรือบริษัทห้างร้านได้เลย หรือเสร็จแล้วจะตั้งตัวในอาชีพอิสระได้เลย เช่น เป็นช่างชุมชน ลูกค้าจะเรียกให้บริการตรึม นับว่าเป็นการฝันกลางวัน
หรือถ้าคิดว่า เดี๋ยวให้กู้เงินเพื่อทำธุรกิจแฟรนไชส์ หรือกู้เงินเพื่อตั้งเพิงขายอาหารข้างถนน เสร็จแล้วสินค้าจะต้องขายดีแน่ๆ จะต้องกำไรแน่ๆ ก็น่าสงสารคนจนที่จะมีหนี้พอกพูนขึ้นจนหัวโต แต่ถ้าตั้งสมมุติฐานว่าขณะนี้คนจนทำงานบางอย่างอยู่แล้ว วิธีนี้จะแก้ปัญหา อาจจะไม่ตรงจุด ปัญหาของคนจน 11 ล้านคน อาจจะเกิดจากผลิตภัณฑ์หรือบริการของเขานั้น ด้อยอำนาจต่อรอง ได้ราคาต่ำกว่าที่ควร เพราะไม่สามารถแข่งขันกับบริษัทยักษ์ใหญ่ หรือไม่มีความชำนาญที่จะพัฒนามูลค่าเพิ่มให้สูงขึ้น
“โครงการบัตรคนจนเฟสสอง จึงตั้งอยู่บนสมมุติฐานว่า ระบบการสมัครงาน ระบบการจ้างงาน ที่มีอยู่ในประเทศนั้น พิกลพิการ และการที่รัฐแทรกแซงด้วยการฝึกอบรมเพียงสั้นๆ จะทำให้คนจนกระโดดเข้างานได้ หรือกระโดดข้ามงานได้ แต่การแทรกแซงโดยรัฐเพียงแค่การฝึกอบรม จะเปลี่ยนโครงสร้างตลาดแรงงานได้มากมายเชียวหรือ?”
ผมเขียนในหนังสือ Thailand RESET ว่าการอบรมที่จะเพิ่มมูลค่าได้มากที่สุด คือการกระตุ้นให้นายจ้างทำเอง เพื่อยกระดับความชำนาญของแรงงานในมือ เพื่อรับกับการขยับไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 มิฉะนั้น คนงานเหล่านี้จะตกงานในอนาคต และดีใจที่เห็นรัฐบาล คสช. นำไปใช้ โดยจะให้นายจ้างได้ลดภาษีเพื่อการนี้ แต่จะมีผลเป็นการป้องกันคนจนในอนาคตเสียมากกว่า มิใช่การแก้ปัญหา 11 ล้านคนปัจจุบัน
โครงการบัตรคนจนเฟสสอง ตั้งอยู่บนสมมุติฐานอีกด้วยว่า ระบบธุรกิจที่เปิดให้คนจนสร้างงานให้แก่ตนเองในลักษณะทำธุรกิจเล็กๆ แบบ self employed ไม่ว่าโดยแฟรนไชส์ หรือโดยคนจนคิดหาแนวทางเองนั้น พิกลพิการด้วยเช่นกัน และการแทรกแซงโดยรัฐในลักษณะของการจับแพะชนแกะ หรือผ่านร้านค้าประชารัฐ จะเปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจเล็กๆ แบบ self employ ได้มากมายเชียวหรือ? ในข้อเท็จจริงนั้น โครงสร้างธุรกิจเล็กๆ แบบ self employ ขณะนี้พัฒนาชัดเจนอยู่แล้ว รัฐจึงไม่ต้องทำอะไรมากไปกว่าเปิดโลกทัศน์แก่คนจนที่สนใจ
"ในส่วนนี้ ที่ผมเห็นด้วย ก็คือการเปิดให้พ่อค้าแม่ค้าเท้าเปล่าเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่าย ซึ่งจะสร้างจุดเริ่มต้นให้แก่คนจนได้ แต่ผมเสนอให้รัฐไปไกลกว่านี้ โดยสำหรับลูกหนี้ที่ขอกู้เงินเพื่อการนี้ ถ้าสถาบันการเงินพิจารณาเห็นได้ว่ามีโครงการที่ชัดเจน รัฐควรจะค้ำประกันความเสี่ยงให้โครงการกู้ใหม่ในสัดส่วนที่สูงกว่าปกติ เช่น ร้อยละ 70 กรณีถ้าหากสะดุดปัญหาและเป็นหนี้สูญในช่วง 2 ปีแรก แล้วทยอยลดลงให้เหลือสัดส่วนปกติในปีต่อๆ ไป"
สุดท้ายคือประเด็นลำดับการแก้ปัญหาความยากจน ถามว่าการที่โครงการบัตรคนจนก้าวข้ามไปเน้นที่ตัวคนจนเป็นรายบุคคล โดยเล็งว่า จะสามารถวางแผนที่เหมาะเฉพาะตัว แบบ customized plan ได้นั้น มีโอกาสสำเร็จเพียงใด? และที่อ้างว่าเป็นมาตรการเพื่อเก็บข้อมูลแบบลึก เหมือนวิธีแก้ปัญหาคนจนที่ประสบความสำเร็จในประเทศจีนนั้น เป็นจริงอย่างไร?
การแก้ปัญหาความยากจนจะต้องเริ่มจากการเก็บข้อมูล..หลักคิดนี้ถูกต้อง และใน ประเทศจีน ก็เริ่มต้นที่การเก็บข้อมูล แต่ฐานข้อมูลที่จะได้จากการสัมภาษณ์ผู้ถือบัตรรายบุคคล ก็จะได้ข้อมูลแต่เพียงว่า อาชีพปัจจุบันทำอะไร และโครงการวาดฝันว่าจะสามารถเปลี่ยนอาชีพ หรือเพิ่มอาชีพเสริมที่รายได้สูงขึ้น “วิธีเก็บข้อมูลที่เป็นระบบนั้น ไม่ควรจะเริ่มต้นที่การสัมภาษณ์ผู้ถือบัตรเป็นรายบุคคล กลับควรจะต้องเริ่มต้นที่ชุมชน” เพื่อดูปัญหาของระดับชุมชนเสียก่อน เพราะเมื่อแก้ปัญหาในระดับชุมชนได้ ปัญหาระดับบุคคลก็จะเบาไปครึ่งหนึ่ง
ปัญหาระดับชุมชนอาจเป็นเรื่องแหล่งน้ำ การขนส่งผลิตภัณฑ์ การยกระดับเป็นเกษตรอินทรีย์ การพัฒนามูลค่าเพิ่มให้สินค้าชุมชน การสอนสร้างงานกันเองภายในชุมชน เป็นต้น ต่อจากนั้น จึงจะเจาะลึกลงไปถึงระดับครอบครัว และเมื่อแก้ปัญหาระดับครอบครัวได้ จึงค่อยลงไปแก้ปัญหาในระดับบุคคล ปัญหาระดับครอบครัวอาจเป็นการมีคนแก่ที่ต้องเลี้ยงดู หรือไม่สามารถให้ลูกไปเรียนหนังสือเพราะต้องให้ลูกช่วยขายสินค้า หรือคนรุ่นลูกไปทำงานในเมืองใหญ่ทิ้งรุ่นหลานไว้กับตายาย เป็นต้น
วิธีแก้ปัญหาความยากจนที่เอาประชาชนเป็นศูนย์กลาง ควรจะทำอย่างครบวงจรเช่นนี้!!!
ขอบคุณบทความจาก : Thirachai Phuvanatnaranubala
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี