“Disruptive Technology, Digital Economy, E-Commerce, Blockchain, Cryptocurrency” ตัวอย่างของคำที่คุ้นหูในระยะหลังๆ ที่โลกเข้าสู่ “ยุค 4.0” ในมุมหนึ่งได้ทำให้เกิดธุรกิจใหม่ๆ ขึ้นมามากมาย อาทิ รถรับส่งผู้โดยสารผ่านแอพพลิเคชั่นที่ไม่ได้อยู่ในระบบแท็กซี่ของรัฐแต่เป็นใครก็ได้ที่มีรถยนต์ส่วนตัว หรือธุรกิจเดิมๆ ที่เปลี่ยนรูปแบบไป อย่างร้านค้าแทนที่จะต้องไปเช่าพื้นที่ในห้างหรือตลาดก็ย้ายไปขายบนโลกออนไลน์แทน หรือเกิดสกุลเงินอิเล็กทรอนิกส์อย่าง Bitcoin ที่ใช้แลกเปลี่ยนเป็นเงินจริงได้ จนมีการซื้อขายเก็งกำไรกันในปัจจุบัน
กระแสของการเปลี่ยนแปลงนี้หลายคนคงเห็นเป็นเรื่อง “น่ายินดี” สร้างโอกาสใหม่ๆ ขึ้นมา ทว่าอีกมุมหนึ่ง“ในโอกาสก็อาจมีวิกฤติ” ดังที่ สันติธาร เสถียรไทย ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจเอเชีย ธนาคารเครดิตสวิส (Credit Suisse) กล่าวในเวทีเสวนา “Re-Design Thailand ทำอย่างไรให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืน” ซึ่งจัดโดยคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ว่า“แม้สุดท้ายประเทศไทยจะไปต่อได้” แต่คำถามคือ “จะมีคนไทยสักกี่คนที่ได้ไปต่อ?” กับเศรษฐกิจของโลกยุคใหม่นี้
“เทคโนโลยีมันเก่งกว่า ต้นทุนต่ำกว่า ถ้าเราอยากจะชนะมันไม่ใช่การจ้างคนมากขึ้น แต่จ้างคนน้อยลง ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) มากขึ้น ใช้เครื่องพิมพ์ 3 มิติ (3D Printing) ใช้เทคโนโลยีต่างๆ มากขึ้นเรื่อยๆ เคยมีการวิเคราะห์ประเทศต่างๆ ในเรื่องความเสี่ยงของอาชีพที่จะถูกหุ่นยนต์แย่งงาน ประเทศไทยนั้นอยู่ในกลุ่มสัดส่วนมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ เพราะอาชีพส่วนใหญ่ไม่ใช่อาชีพที่ใช้ทักษะสูงนัก ถ้าเป็นเช่นนี้สมมติเราแข่งจนชนะ จะมีคนแค่กระจุกเดียวที่ได้ประโยชน์ แต่คนส่วนใหญ่ถูกทิ้งไว้ที่ชานชาลา ความเหลื่อมล้ำก็อาจจะแย่ลง” สันติธาร กล่าว
นักวิเคราะห์เศรษฐกิจจากสถาบันการเงินระดับโลกผู้นี้ยังกล่าวถึงกระแสอื่นๆ ที่ทำให้ “โลกยุคนี้อยู่ยาก” มากขึ้น เช่น นโยบาย “ลดบทบาทตลาดโลกาภิวัตน์ เพิ่มมาตรการปกป้องรัฐชาติของตน” หากย้อนไปเมื่อ 2 ทศวรรษก่อน ทิศทางเศรษฐกิจโลกคือ “การค้าเสรี” แต่ไม่กี่ปีมานี้ แม้กระทั่งมหาอำนาจโลกเสรีอย่าง สหรัฐอเมริกา รัฐบาลก็ยังหันไปเน้นแนวทางช่วยเหลือพลเมืองอเมริกันก่อน และประเทศอื่นๆ ก็ไม่ต่างกัน เท่ากับ “ตลาดจะเล็กลงและการแข่งขันจะยิ่งดุเดือดมากขึ้น” ไปโดยปริยาย
สันติธาร กล่าวอีกว่า แม้กระทั่งรูปแบบของ “การศึกษา”ก็เปลี่ยนไปด้วย เพราะในโลกใหม่การศึกษาไม่ได้หมายถึงแต่โรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย แต่เป็น “การศึกษาตลอดชีวิต” เพราะเมื่อไปทำงานแล้ว “ไม่ว่าอายุเท่าใด” ก็ยังมีโอกาส “เปลี่ยนอาชีพ”ได้เสมอ ดังนั้นต้องพร้อมเรียนรู้ตลอดเวลา กับ “การศึกษาปฐมวัย” ที่ไม่ใช่เร่งอัดวิชาการ แต่เป็นการ “อบรมบ่มนิสัย” สร้างพฤติกรรมที่จะทำให้ “อยู่รอด” ในยุคสมัยที่อะไรๆ ก็เปลี่ยนไปมาอย่างรวดเร็ว นั่นคือ “ล้มไม่เป็นไรขอให้ลุก แพ้ไม่ว่าแค่อย่าท้อก็พอ” มองความล้มเหลวเป็นเรื่องธรรมดาแล้วเดินหน้าสู้ต่อไป
“NUS (มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์) เขาตั้งศูนย์ชื่อว่า Center for Future-ready Graduate เขากังวลเรื่องคนของเขาไม่ทันโลกอยู่ตลอดเวลา เขาบอกว่าปัญหาการขาดทักษะมันแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ แต่ 80 เปอร์เซ็นต์เป็นเรื่องวิธีคิด (Mindset) คนที่กำลังหาว่าจะเรียนอะไรต่อดีพวกนี้ไม่ใช่ปัญหา พวกที่มีปัญหาคือพวกที่หางานไม่ได้ อยู่บ้าน เล่นพนันฟุตบอล กินเหล้า ไม่ทำอะไรแล้วบอกว่าตัวเองไม่มีค่า หมดความมั่นใจ วิธีคิดตรงนี้จะเปลี่ยนอย่างไร? ต้องบ่มเพาะตั้งแต่เด็กไหม?” สันติธาร ฝากคำถามชวนคิด
สอดคล้องกับ ศิริรุจ จุลกะรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ที่กล่าวว่า แม้ด้านหนึ่งหน่วยงานต่างๆ จะพยายามส่งเสริมให้ผู้ประกอบการโดยเฉพาะขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) สามารถปรับตัวแข่งขันในโลกยุค 4.0 ได้ แต่ที่สำคัญกว่าคือวิธีคิดของแต่ละบุคคล เพราะทุกอย่างที่เคยรู้จักได้เปลี่ยนไปมากแล้ว อาทิ “เดี๋ยวนี้คนรุ่นใหม่ๆ ไม่ทำงานอย่างเดียว” แต่ต้องพยายามมีรายรับจากหลายๆ ทาง
“ระบบมันบอกว่าคุณต้องมีความสามารถหลายๆ อย่าง อีกหน่อยคนที่เป็นแรงงานฝีมือ (Skilled Labour) อาจจะกลายเป็นไร้ฝีมือ (Unskilled Labour) ก็ได้ การที่คุณทำอะไรด้านเดียวนี่คือไม่มีความสามารถสำหรับงานในอนาคตเลย เด็กรุ่นใหม่เขาทำทุกอย่าง ว่างก็ไปสอนพิเศษ ขายของทางอินเตอร์เนต หรือทำงานประจำไปด้วยเล่นหุ้นไปด้วยดังนั้นออกจากงานประจำก็ยังมีรายได้จากที่อื่น นั่นคือลักษณะของคนในอนาคต” ศิริรุจ ระบุ
ไม่ต่างกับความเห็นของ ผศ.ดร.ธีรวุฒิ ศรีพินิจ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มธ. ที่กล่าวว่า หากแบ่งประเทศไทยตามยุค “Thailand 1.0” ที่หมายถึงเศรษฐกิจหลักคือภาคเกษตรกรรม“อดทน” คือคุณสมบัติของคนยุค 1.0 ต่อมา “Thailand 2.0” เศรษฐกิจยุคอุตสาหกรรมเบา เช่น สิ่งทอ เครื่องประดับ แปรรูปอาหาร “ขยัน” คือคุณสมบัติของคนยุค 2.0 จากนั้นเข้าสู่ยุค“Thailand 3.0” อุตสาหกรรมหนัก เช่น ปิโตรเคมี พลังงาน ยานยนต์ “ฉลาดและหาโอกาสได้” คือคุณสมบัติของคนยุค 3.0 แต่สำหรับคนยุค “Thailand 4.0” นั้นคุณสมบัติ “รอบรู้และปรับตัวเป็น” คือสิ่งที่ต้องมี
แต่อีกด้านหนึ่ง นักเศรษฐศาสตร์ผู้นี้ ก็มองว่าเมื่อโลกพัฒนาไป “ความสะดวกสบายเพิ่มขึ้น” สิ่งที่น่าห่วงคือ“การบริโภคที่เพิ่มขึ้นจนเกินตัว” เห็นได้จากปริมาณ“หนี้ครัวเรือน” ที่ในระยะหลังๆ เป็นการกู้ยืมมาเพื่อบริโภคกันเสียมาก สวนทางกับ “หนี้เพื่อการลงทุนหรือการศึกษา”ที่ลดลง ดังที่พบได้ทั่วไป “เห็นเพื่อนมีเราต้องมีด้วย” ถ้าไม่มีเงินซื้อก็ไปกู้เขามา นอกจากนี้ยังพบว่า “ปัญหาอาชญากรรมสูงขึ้น” ไปพร้อมกับการขยายตัวของเศรษฐกิจด้วย ดังนั้นจึงเกิดคำถามว่า “เศรษฐกิจกับความสุข” เราให้น้ำหนักกับ 2 เรื่องนี้อย่างสมดุลเพียงใด?
“เศรษฐกิจไทยก็เติบโตมีขึ้นมีลงตามสภาพต่างๆ แต่อยากให้ดูตรงนี้ คุณแม่เคยถามผมว่ามีงานทำแล้วทำไมเครียด? ก็บอกว่ากลัวตกงาน สมัยนี้เก่งๆ กันหมด การแข่งขันสูง ก็ถามกลับไปว่าสมัยคุณแม่กับอากงทำงานเป็นอย่างไร? คุณแม่บอกว่ามืดค่ำก็เข้าบ้าน มีความสุขนี่เป็นสิ่งที่ผมตั้งคำถาม เมื่อก่อนพ่อแม่ปู่ย่าตายายเรารายได้น้อยแต่ความสุขมหาศาล เราหวังว่าการพัฒนาทางเศรษฐกิจแล้วปลายทางคือความสุข สุดท้ายกลายเป็นว่าเราได้เงินเยอะจริงแต่ความสุขมันหายไปไหนหมด?” อาจารย์ธีรวุฒิ ตั้งข้อสังเกต
คำตอบของคำถามนี้ อาจอยู่ที่การ “เปลี่ยนมุมคิด” ว่าด้วยวิชาเศรษฐศาสตร์อย่างสิ้นเชิงหรือไม่? โดยย้อนกลับไปยังนิยามของวิชานี้ที่คุ้นเคยกันมานานว่า “เศรษฐศาสตร์คือวิชาที่ว่าด้วยการจัดการทรัพยากรอันมีจำกัด เพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์ที่ไร้ขีดจำกัด” ดังความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์ที่หันไปศึกษาปัญหาสิ่งแวดล้อม รศ.ดร.ชยันต์ ตันติวัสดาการ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มธ. กล่าวว่า ในแวดวงเศรษฐศาสตร์มักเชื่อว่า “ความต้องการ(Demand) ของคนเปลี่ยนไม่ได้” ทั้งที่จริงๆ แล้ว “ความต้องการคือพฤติกรรม” และพฤติกรรม “เปลี่ยนได้” เสมอ
อาจารย์ชยันต์ ยกตัวอย่างง่ายๆ “คนตัวคนเดียวกับคนมีลูก” แม้เป็นคนคนเดียวกัน แต่เมื่อสถานภาพเปลี่ยนไป “รูปแบบการใช้ชีวิต” ก็ไม่เหมือนกันแล้ว จึงฝากเป็นประเด็นท้าทายความคิดไว้ว่า “แล้วจะลดความอยากลงได้อย่างไร?” เพื่อให้เกิดความ “สมดุลกับทรัพยากร (Supply) ที่มีอยู่” ซึ่งการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมก็ตั้งอยู่บนหลักการนี้ ทางเดียวที่จะเหลือทรัพยากรให้ถึงรุ่นลูกรุ่นหลานอยู่ที่การบริหารความอยาก หรือ Demand เป็นสำคัญ
“ถ้าเราเปลี่ยนวิธีคิดตรงนี้ เราจะมองและแก้ปัญหาที่ต่างออกไป” อาจารย์ชยันต์ กล่าวย้ำ
บทสรุปของวงเสวนานี้ แม้จะมีข้อสังเกตว่า “เราเปลี่ยนช้าไปไหม?” เพราะประเทศไทยได้เข้าสู่ยุค “สังคมสูงวัย” เด็กเกิดใหม่น้อยและคนชรามีสัดส่วนเพิ่มขึ้น เมื่อรวมกับ “ช่องว่าง” ทางการศึกษาที่คนรุ่นเก่ามีโอกาสน้อยกว่าคนรุ่นใหม่อย่างมากจึงกลายเป็นข้อน่ากังวล แต่เรื่องนี้อาจเป็น “ข่าวดี” เพราะแทบทุกประเทศก็เปลี่ยนช้าไม่ต่างจากไทย ดังนั้น “ยังไม่สาย” แต่โจทย์ให้ที่ต้องแก้ให้ได้คือรูปแบบการศึกษาบนหลักการเรียนรู้ตลอดชีวิตไม่ว่าวัยไหน
จะทำให้เกิดขึ้นได้อย่างไร?
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี