สัตว์ป่าสงวน หมายถึงสัตว์หายาก จึงจำเป็นต้องมีบทบัญญัติเข้มงวดกวดขัน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายสุ่มเสี่ยงที่จะสูญพันธุ์ โดยสัตว์ใดถือเป็นสัตว์ป่าสงวนหรือไม่นั้นอยู่ที่การกำหนดตามบัญชีท้าย พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2503 และมีการแก้ไขเป็น พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 ในเวลาต่อมา โดยนับตั้งแต่ปี 2558 ซึ่งประชุมสงวนคุ้มครองสัตว์ป่ามีมติเห็นชอบให้เพิ่มสัตว์ 4 ชนิด ทำให้ปัจจุบันประเทศไทยมีสัตว์ป่าสงวนรวม 19 ชนิด ได้แก่
นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร (Pseudochelidon sirintarae)
ที่มา :https://www.nectec.or.th/schoolnet/library/create-web/10000/science/10000-4113.html
1.นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร (Pseudochelidon sirintarae) หรือนกตาพอง เป็นนกที่อยู่ในตระกูลนกนางแอ่น ค้นพบโดย กิตติ ทองลงยา ที่บึงบอระเพ็ด จ.นครสวรรค์ เมื่อปี 2511 ลักษณะมีขนสีดำเป็นมันเหลือบน้ำเงินปนเขียวมีแต้มสีขาวตรงโคนหาง ตาใหญ่ เห็นตาขาวชัดเจน ขอบตามีสีขาว ปากสีเหลือง ตัวผู้มีขนหางยาวออกไป 2 เส้น อาศัยอยู่เป็นฝูงตามทุ่งหญ้า ชอบบินโฉบจับแมลงกินเป็นอาหาร ปัจจุบันอยู่ในสถานะ “สูญพันธุ์แบบไม่ยืนยัน” เพราะแม้จะยังไม่มีข้อสรุป ทว่านับตั้งแต่ปี 2523 เป็นต้นมา ก็ยังไม่มีผู้ใดพบเห็นนกชนิดนี้อีกเลย
แรด (Rhinoceros sondaicus)
ที่มา : http://pirun.ku.ac.th/~b5310302948/แรด.html
2.แรด (Rhinoceros sondaicus) เป็นสัตว์กีบคี่ มีกีบข้างละสามกีบ หนักราว 1.5-2 ตัน สูงราว 160-175 ซม. ความยาวหัว-ลำตัว 300-320 ซม. หางยาว 70 ซม. ตามลำตัวมีสีเทาหม่น มีเอกลักษณ์สำคัญคือมี “นอแหลม” ขึ้นที่เหนือจมูก นอแรดส่วนใหญ่ยาวไม่ถึง 15 ซม. แรดตัวเมียนั้นตัวใหญ่กว่าตัวผู้แต่ไม่มีนอ หรือมีเพียงฐานนอนูนขึ้นมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ริมฝีผากบนแหลมเป็นจงอยช่วยในการหยิบเกี่ยวยอดไม้มากินได้ หนังหนามีรอยพับจนดูเป็นเหมือนชุดเกราะ มีรอบพับข้ามลำตัวสามรอย คือที่ท้ายทอย หัวไหล่ และสะโพก
แรดเป็นสัตว์ที่ถือสันโดษมาก หากินโดยลำพังเสมอ ยกเว้นในช่วงผสมพันธุ์หรือช่วงที่แม่ยังเลี้ยงดูลูก แรดชอบอาศัยอยู่ในป่าฝนที่แน่นทึบ มีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์ มีปลักโคลนอยู่ทั่วไป ชอบอาศัยในป่าต่ำ แต่ก็เคยมีรายงานพบในที่สูงกว่า 1,000 เมตร อาหารหลักคือใบไม้ ยอดอ่อน และผลไม้สุก เป็นต้น ในอดีตพบได้ทั่วไปในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) แต่ปัจจุบันอยู่ในสถานะสัตว์หายาก และสำหรับในไทยนั้น “สูญพันธุ์ไปแล้ว” สาเหตุหลักมาจากการล่าของมนุษย์เพื่อตัดเอานอไปทำยาบำรุงตามความเชื่อ
กระซู่ (Dicerorhinus sumatrensis)
ที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki/กระซู่
3.กระซู่ (Dicerorhinus sumatrensis) หรือแรดสุมาตรา หรือแรดขน เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับสัตว์กีบคี่จำพวกแรด กระซู่เป็นแรดที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก และเป็นแรดเพียงชนิดเดียวที่อยู่ในสกุล Dicerorhinus มีลักษณะเด่นคือ “มีนอ 2 นอ” โดยนอจะไม่ตั้งยาวขึ้นมาเหมือนแรดชวา นอหน้าใหญ่กว่านอหลัง โดยทั่วไปยาว 15-25 ซม. ลำตัวมีขนหยาบและยาวปกคลุม เมื่อโตเต็มที่สูง 120–145 ซม. จรดหัวไหล่ ยาว 250 ซม. และมีน้ำหนัก 500-800 กก. ปัจจุบันอยู่ในสถานะ “สูญพันธุ์ไปแล้ว” ในไทย ด้วยสาเหตุหลักคือการถูกล่าเอานอไปขายเช่นเดียวกับแรด
กูปรีหรือโคไพร (Bos sauveli)
ที่มา : http://www.thaikasetsart.com/กูปรีหรือโคไพร/
4.กูปรีหรือโคไพร (Bos sauveli) เป็นวัวป่าชนิดหนึ่ง ซึ่งมีความสูงประมาณ 5-6 ฟุต เมื่อยังอ่อนอยู่ลำตัวจะออกสีเทา ต่อเมื่อโตเต็มที่แล้วจะมีสีเทาเข้มจนเกือบดำ เท้าทั้งสี่จะมีสีขาวหม่นคล้ายใส่ถุงเท้ามีเหนียงใต้คอยาวมาก และเหนียงของตัวผู้จะยาวกว่าของตัวเมีย มีสันของกระดูกสันหลังหักลงเป็นโหนก เขาของกูปรีตัวผู้ตรงปลายจะแตกออกเป็นพู่ กูปรีตัวเมียมีเขาเล็กกว่าของ ตัวผู้ และตรงปลายก็ไม่แตกออกเป็นพู่อย่างของตัวผู้ ชอบหากินเป็นฝูง ในไทยเคยพบเห็นในพื้นที่อีสานล่าง (บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ) แต่ปัจจุบัน “คาดว่าสูญพันธุ์” ไปแล้ว
ควายป่า (Bubalus bubalis)
5.ควายป่า (Bubalus bubalis) มีความสูงจากพื้นถึงไหล่ (Shoulder height) 160-190 ซม. สีเทาถึงน้ำตาลอ่อนอาศัยอยู่เป็นฝูงใกล้น้ำ บริเวณหน้าอกมีแถบรูปตัว U กว้าง มีขนาดใหญ่และล่ำกว่าควายบ้าน ปัจจุบันมีรายงานว่า "ใกล้สูญพันธุ์" เหลือไม่เกิน 100 ตัว บริเวณเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง
ละองละมั่งพันธุ์ไทย
ที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki/ละองละมั่ง
6.ละอง หรือละมั่ง (Rucervus eldi) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับสัตว์กีบคู่ชนิดหนึ่ง เป็นกวางขนาดกลาง ขนตามลำตัวสีน้ำตาลแดง แต่สีขนจะอ่อนลงเมื่อเข้าสู่ฤดูร้อน ขนหยาบและยาว ในฤดูหนาวขนจะยาวมาก แต่จะร่วงหล่นจนดูสั้นลงมากในช่วงฤดูร้อน ในตัวผู้จะเรียกว่า ละอง ตัวเมียซึ่งไม่มีเขาจะเรียกว่า ละมั่ง แต่จะนิยมเรียกคู่กัน สันนิษฐานว่าเพี้ยนมาจากภาษาเขมรคำว่า “ลำเมียง” ละองตัวที่ยังโตไม่เต็มวัยจะมีขนแผงคอที่ยาว ลูกแรกเกิดจะมีจุดสีขาวกระจายอยู่รอบตัว และจุดนี้จะจางหายเมื่ออายุมากขึ้น
ขอบตาและริมฝีปากล่างมีสีขาว มีความยาวลำตัวและหัว 150–170 เซนติเมตร ความยาวหาง 220–250 ซม. น้ำหนัก 95–150 กก. สำหรับประเทศไทยมี 2 ชนิด คือละองละมั่งพันธุ์ไทย หรือละองละมั่งอินโดจีน กับละองละมั่งพันธุ์พม่า “ปัจจุบันละมั่งพันธุ์ไทยที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นอยู่ในความดูแลของมนุษย์ภายในสวนสัตว์หรือศูนย์อนุรักษ์” ส่วนพันธุ์พม่านั้นอยู่ตามแนวตะเข็บชายแดนไทย-พม่า แถบเทือกเขาตะนาวศรี
สมัน หรือเนื้อสมัน (Rucervus schomburki)
ที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki/สมัน
7.สมัน หรือเนื้อสมัน (Rucervus schomburki) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจำพวกสัตว์กีบคู่ชนิดหนึ่ง เป็นกวางขนาดกลาง ขนตามลำตัวสีน้ำตาลเข้ม ท้องมีสีอ่อนกว่า ริมฝีปากล่างและด้านล่างของหางเป็นสีขาว มีลักษณะเด่นคือ ตัวผู้จะมีเขาแตกแขนงออกไปมากมายเหมือนกิ่งไม้ แลดูสวยงาม จึงได้ชื่อว่าเป็นกวางที่มีเขาสวยที่สุดในโลก มีกิ่งรับหมาหรือกิ่งเขาที่ยื่นออกไปข้างหน้ายาวกว่ากิ่งรับหมาของกวางชนิดอื่นๆ
สมันมีความยาวลำตัว 180 เซนติเมตร ความยาวหาง 10 เซนติเมตร มีความสูงจากพื้นดินถึงหัวไหล่ 100-110 ซม. น้ำหนักประมาณ 100-120 กก. สมันนั้นวิ่งเร็วประมาณ 100 กม./ชม. ถิ่นที่อยู่คือบริเวณภาคกลางของไทย โดยอาศัยอยู่ในที่ทุ่งโล่งกว้าง ไม่สามารถหลบหนีเข้าป่าทึบได้เนื่องจากกิ่งก้านของเขาจะไปติดพันกับกิ่งไม้ จึงเป็นจุดอ่อนให้ถูกล่าได้อย่างง่ายดาย และ “สูญพันธุ์ไปนานแล้ว” ตั้งแต่ปี 2475
เลียงผา หรือเยือง หรือกูรำ หรือโครำ (Capricornis sumatraensis)
8.เลียงผา หรือเยือง หรือกูรำ หรือโครำ (Capricornis sumatraensis) รูปร่างคล้ายแพะ แต่ไม่มีเครา ขนหยาบและยาวกว่า มีสีดำเกือบทั้งตัว หูยาวเหมือนลา มีเขาทั้งตัวผู้และตัวเมีย เขายาวประมาณ 4 - 8 นิ้ว โคนเขามีหยักเป็นวงรอบ ๆ ปลายเขากลมเรียวโค้งไปข้างหลังเล็กน้อย เท้าของมันแข็งแรงมาก กีบเท้าแข็งแกร่งและสั้น เหมาะที่จะกระโดดไปตามหน้าผา มีต่อมขนาดใหญ่อยู่ใต้ตา
เลียงผาอาศัยอยู่ตามป่าสูงที่มีหน้าผาหรือโขดหินสูงชัน มีชะง่อนผากำบังเพียงพอ หรือเข้าไปอยู่ ในถ้ำที่คนเข้าไปไม่ถึง นิสัยปกติขี้อาย ปกติชอบออกหากิน แต่จะดุเมื่อบาดเจ็บหรือจนตรอก ปกติชอบออกหากินตามลำพังตัวเดียว ออกหากินตอนเย็นและเช้าตรู่ ส่วนตอนกลางวันนอนหลบพักตามป่าละเมาะหรือป่าลึก ๆ สามารถอดน้ำได้นานเป็นสัปดาห์ ปัจจุบันคาดว่ามีประชากรเลียงผาในประเทศไทยเพียงหลักร้อยตัว และสุ่มเสี่ยงลดจำนวนลงได้อีกเนื่องจากถูกล่าเพื่อนำ "กระดูก" ไปทำน้ำมันยาที่เชื่อกันว่ามีฤทธิ์สมานบาดแผล
กวางผาจีน (Naemorhedus griseus)
ที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki/กวางผาจีน
9.กวางผาจีน (Naemorhedus griseus) รูปร่างหน้าตาคล้ายแพะ มีหูยาว ขนตามลำตัวหยาบและหนามีสีเทาหรือน้ำตาลเทา มีแถบสีดำพาดอยู่กลางหลัง ตัวเมียมีสีขนอ่อนกว่าตัวผู้ บริเวณลำคอด้านในมีขนสีอ่อน ริมฝีปากและรอบ ๆ ตาสีขาว เขาสั้นมีสีดำ ตัวผู้มีเขาที่หนาและยาวกว่าตัวเมีย มีความยาวลำตัวและหัว 82–120 ซม. ความยาวหาง 7.5–20 ซม. ความสูงจากพื้นดินถึงหัวไหล่ 50–60 เซนติเมตร น้ำหนัก 22–32 กก. ปัจจุบันพบได้เพียงในพื้นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ และมีจำนวนน้อยเพราะในอดีตถูกล่าไปทำน้ำมันเช่นเดียวกับเลียงผา
นกแต้วแร้วท้องดำ (Pitta gurneyi)
ที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki/นกแต้วแร้วท้องดำ
10.นกแต้วแร้วท้องดำ (Pitta gurneyi) เป็นหนึ่งในนกแต้วแร้ว 12 ชนิดที่พบได้ในประเทศไทย รูปร่างอ้วนป้อม คอสั้น หัวโต หางสั้น ลำตัวยาว 22 ซม. ตัวผู้หัวมีสีดำ กระหม่อมและท้ายทอยสีน้ำเงินเหลือบฟ้า หางสีน้ำเงินอมเขียว ท้องสีเหลืองสดมีริ้วสีดำบางๆ พาดสลับตลอดช่วงท้อง ใต้ท้องมีแต้มสีดำ อันเป็นที่มาของชื่อ ตัวเมียกระหม่อมสีเหลืองอ่อน มีแถบดำผ่านใต้ตาลงไปถึงแก้ม ท้องสีขาว มีแถบสีน้ำตาลขวางจากอกลงไปถึงก้น ปัจจุบันในประเทศไทยถือเป็นสัตว์หายากในระดับเกือบสูญพันธุ์ แต่ในเมียนมา (พม่า) ยังพอมีรายงานการค้นพบได้บ้าง
นกกระเรียนไทย (Grus antigone)
11.นกกระเรียนไทย (Grus antigone) นกกระเรียนไทยเป็นนกขนาดใหญ่ มีลำตัวและปีกสีเทา คอตอนบนและหัวเป็นหนังเปลือยสีแดงไม่มีขน ตรงกระหม่อมเป็นสีเทาหรือเขียว คอยาวเวลาบินคอจะเหยียดตรงไม่เหมือนกับนกกระสาซึ่งจะงอพับไปด้านหลัง ขนปลายปีกและขนคลุมขนปลายปีกสีดำ ขนคลุมขนปีกด้านล่างสีเทา ขนโคนปีกสีขาว ขายาวเป็นสีชมพู มีแผ่นขนหูสีเทา ม่านตาสีส้มแดง ปากแหลมสีดำแกมเทา นักวัยอ่อนมีปากสีค่อนข้างเหลืองที่ฐาน หัวสีน้ำตาลเทาหรือสีเนื้อปกคลุมด้วยขนนก
ความสูงเฉลี่ยประมาณ 150-180 ซม. น้ำหนักประมาณ 5-9 กก. จับคู่แบบผัวเดียว เมียเดียว ผสมพันธุ์ในช่วงเดือน ก.ค.-ก.ย. ทำรังขนาดใหญ่ด้วยกิ่งไม้ขัดสานกันวางไข่ครั้งละประมาณ 1-3 ฟอง ระยะฟักไข่ประมาณ 31-34 วัน นกกระเรียนไทยเคยถูกรายงานว่าสูญพันธุ์ไปแล้วเพราะพบเห็นครั้งสุดท้ายในปี 2511 อย่างไรก็ตามมีความพยายามเพาะเลี้ยงขึ้นมาใหม่โดย องค์การสวนสัตว์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ จนประสบผลสำเร็จตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นมา มีการปล่อยคืนสู่ธรรมชาติในพื้นที่ชุ่มน้ำ จ.บุรีรัมย์ โดยในปี 2560 คาดว่ามีประชากรนกกระเรียนไทย 79 ตัว
แมวลายหินอ่อน (Pardofelis marmorata)
12.แมวลายหินอ่อน (Pardofelis marmorata) เป็นแมวขนาดเล็ก ขนาดใกล้เคียงกับแมวบ้านทั่วไป มีลวดลายและสีสันคล้ายกับเสือลายเมฆ ในภาษาจีนคำเรียกแมวลายหินอ่อนก็มีความหมายว่า เสือลายเมฆเล็ก มีแต้มใหญ่ ๆ ขอบสีดำแบบเดียวกับเสือลายเมฆ แต่แต้มแต่ละแต้มอาจมีขอบไม่ครบวงหรือซ้อนเหลื่อมกัน มีสีสันหลายแบบ ตั้งแต่เหลืองซีดจนถึงน้ำตาลอมเทาหรือน้ำตาลอมแดง มีเส้นสีดำแคบๆ พาดผ่านกระหม่อม คอ และหลัง ขนนุ่มแน่นและมีขนชั้นในที่พัฒนาดี
ส่วนล่างของลำตัวมีสีเทาอ่อนหรือขาวและมีจุดสีดำ จุดสีดำใต้ลำตัวนี้มีมากกว่าและเล็กกว่าของเสือลายเมฆ หัวสั้นกลมกว่าแมวชนิดอื่น ๆ มีแถบสีดำข้างละ 3 แถบ หน้าผากกว้าง รูม่านตากว้าง สีน้ำตาล หูกลมสั้นสีดำมีจุดสีขาวที่หลังหู ขาค่อนข้างสั้นและมีจุดดำอยู่มาก ฝ่าตีนกว้าง หางฟู ยาวประมาณ 48-55 ซม. ซึ่งยาวเท่ากับลำตัวรวมกับหัวหรืออาจจะยาวกว่าเสียอีก มีจุดสีดำตลอดความยาวหาง ปลายหางสีดำ
แมวลายหินอ่อนนั้นเป็น "สัตว์หายากในหมู่สัตว์หายาก" เพราะมีจำนวนน้อยอยู่แล้วตามธรรมชาติ รายงานการศึกษาแมวลายหินอ่อนจึงมีไม่มากเพราะพบเห็นได้ยาก และด้วยความที่เป็นสัตว์หายากในหมู่สัตว์หายากนี้เอง ทำให้เป็นที่ต้องการมากในตลาดมืด อีกทั้งการมีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับแมวบ้าน ทำให้นักลักลอบค้าสัตว์ปาหายากสามารถนำพาแมวลายหินอ่อนเล็ดลอดจากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ได้ง่าย เมื่อบวกกับถิ่นที่อยู่อย่างพื้นที่ป่าลดลง แมวลายหินอ่อนจึงอยู่ในสถานะใกล้สูญพันธุ์
สมเสร็จ (Tapirus indicus)
13.สมเสร็จ (Tapirus indicus) เป็นสัตว์กีบเดี่ยว มีลักษณะของสัตว์หลายชนิดอยู่รวมกันในตัว รูปร่างคล้ายหมู กีบเท้าคล้ายแรด จมูกและริมฝีปากมนยาวยื่นออกมาคล้ายงวงช้าง หางสั้นคล้ายหางหมี หูเล็กสั้นกลม ตาเล็ก พบในทวีปอเมริกา และเอเชีย ในทวีปอเมริกาพบตั้งแต่เม็กซิโกลงมาจนถึงอเมริกาใต้ ในเอเชียพบตั้งแต่แถบเทือกเขาตะนาวศรีของไทย ลงไปจนถึงคาบสมุทรมลายา สุมาตรา กินใบไม้ ต้นอ่อนของพืช ผลไม้ พืชน้ำ และหญ้า เป็นอาหาร
สมเสร็จชอบอยู่ลำพังตัวเดียว รักสงบ อาศัยตามป่าดงดิบหรือป่าทึบ ใกล้แหล่งน้ำลำธาร ชอบนอนแช่น้ำปลักโคลน ดำน้ำเก่งมาก จมูกไว ส่งเสียงร้องเหมือนนกหวีดเมื่อภัยมา เริ่มผสมพันธุ์ได้เมื่อมีอายุราว 3-5 ปี ตั้งท้องนานปรมาณ 390-395 วัน ออกลูกครั้งละ 1 ตัว ลูกจะอยู่กับแม่นานราว 6-8 เดือนจึงจะแยกตัวออกไป มีอายุยืนประมาณ 20-30 ปี ข้อมูลจาก สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ระบุว่า ในไทยมีอยู่ไม่เกิน 1,000 ตัว ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ทางภาคตะวันตกและภาคใต้
เก้งหม้อ (Muntiacus feai)
14.เก้งหม้อ (Muntiacus feai) มีลักษณะโดยทั่วไปคล้ายกับเก้งธรรมดา ขนาดลำตัวไล่เลี่ยกัน เมื่อโตเต็มที่น้ำหนักประมาณ 20 กิโลกรัม แต่เก้งหม้อจะมีสีลำตัวคล้ำกว่าเก้งธรรมดา ด้านหลังสีออกน้ำตาลเข้ม ใต้ท้องสีน้ำตาลแซมขาว ขาส่วนที่อยู่เหนือกีบจะมีสีดำ ด้านหน้าของขาหลังมีแถบขาวเห็นได้ชัดเจน บนหน้าผากจะมีเส้นสีดำอยู่ด้านในระหว่างเขา หางสั้นด้านบนสีดำตัดกับสีขาวด้านล่างชัดเจน
เก้งหม้อชอบอาศัยอยู่เดี่ยว ในป่าดงดิบ ตามลาดเขา จะอยู่เป็นคู่เฉพาะฤดูผสมพันธุ์เท่านั้น ออกหากินในเวลากลางวันมากกว่าในเวลากลางคืน พบได้ในภาคใต้ตอนบนของไทย อาหารได้แก่ ใบไม้ ใบหญ้า และผลไม้ป่า ตกลูกครั้งละ 1 ตัว เวลาตั้งท้องนาน 6 เดือน เก้งหม้อมีภัยคุกคามทั้งจากมนุษย์ที่นิยมล่าไปเป็นอาหาร และจากการที่พื้นที่ป่าลดลง อย่างไรก็ตาม องค์การสวนสัตว์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ สามารถเพาะเลี้ยงเก้งหม้อได้ตั้งแต่ปี 2528
พะยูนหรือหมูน้ำ (Dugong dugon)
15.พะยูนหรือหมูน้ำ (Dugong dugon) มีลำตัวรูปกระสวยคล้ายโลมา ลำตัวมีสีเทาอมชมพูหรือน้ำตาลเทา สีของส่วนท้องอ่อนกว่า พะยูนมีขนสั้นๆ ประปรายตลอดลำตัวและมีขนเส้นใหญ่อยู่อย่างหนาแน่นบริเวณปาก มีตาและหูขนาดเล็กอย่างละคู่ ส่วนของหูเป็นรูเปิดเล็กๆ ไม่มีใบหู มีรูจมูกอยู่ชิดกันหนึ่งคู่ รูจมูกมีลิ้นปิด-เปิด พะยูนหายใจทุก 1-2 นาที มีครีบด้านหน้าหนึ่งคู่อยู่สองข้างของลำตัวและมีติ่งนมอยู่ด้านหลังของฐานครีบ ครีบทั้งสองเปลี่ยนแปลงมาจากขาคู่หน้า ภายในครีบประกอบด้วยนิ้ว 5 นิ้ว ว่ายน้ำช้ามากมีความเร็วเพียง 1.8-2.2 กม./ชม.
พะยูนมีกระดูกที่มีโครงสร้างแน่นและหนักซึ่งเหมาะกับวิถีชีวิตของพะยูนที่อาศัยหากินอยู่ที่พื้น พะยูนไม่มีอาวุธป้องกันตัว มีเพียงลำตัวที่ใหญ่ มีหนังหนาซึ่งอาจป้องกันอันตรายจากการกัดหรือทำร้ายจากสัตว์อื่นเช่น ฉลาม เมื่อมีบาดแผลเลือดแข็งตัวได้เร็วมาก ส่วนลูกอ่อนจะอยู่กับแม่และอาศัยตัวแม่เป็นโล่กำบังที่ดี ภัยคุกคามของพะยูนในสมัยโบราณคือการถูกมนุษย์ล่าเอาเนื้อและหนัง แต่ปัจจุบันคือการติดแหอวนของเรือประมงและการทิ้งของเสียลงทะเล จุดที่มีโอกาสพบพะยูนมากที่สุดคือทะเลบริเวณ จ.ตรัง ในปี 2559 มีรายงานการค้นพบราว 150 ตัว
วาฬบรูด้า (Balaenoptera edeni)
ที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki/วาฬบรูด้า , https://www.posttoday.com/life/life/440544
16.วาฬบรูด้า (Balaenoptera edeni) มีจุดเด่นที่ครีบหลังที่มีรูปโค้งอยู่ค่อนไปทางด้านปลายหาง แพนหางวางตัวตาม แนวราบ และมีรอยเว้าเข้าตรงกึ่งกลาง ครีบคู่หน้ามีปลายแหลม ซี่บนแผ่นกรองค่อนข้างหยาบ เมื่อโตเต็มที่ลำตัวจะยาว 14-15.5 เมตร หนัก 20-25 ตัน กินอาหารโดยการกรอง มีซี่กรองคล้ายหวีสีเทา จำนวน 250-370 ซี่ อาหารส่วนใหญ่เป็นแพลงตอน, เคย, ปลาขนาดเล็ก และหมึก
แต่เดิมวาฬบรูด้าจัดอยู่ในกลุ่ม "สัตว์ป่าคุ้มครอง" ตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 กระทั่งในปี 2559 คณะรัฐมนตรีมีมติให้เลื่อนชั้นขึ้นมาอยู่ในกลุ่มสัตว์ป่าสงวน วาฬบรูด้าถือเป็น “สัตว์ประจำอ่าวไทย” เพราะพบได้ในพื้นที่จังหวัดภาคกลางติดทะเล แม้กระทั่งในเขตบางขุนเทียนของกรุงเทพฯ ทั้งนี้ในปี 2559 รศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิชาการด้านท้องทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ระบุว่า ประชากรวาฬบรูด้าในประเทศไทยมีประมาณ 65 ตัว
วาฬโอมูระ (Balaenoptera omurai)
ที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki/วาฬโอมูระ
17.วาฬโอมูระ (Balaenoptera omurai) เป็นวาฬสายพันธุ์หายากที่มีความใกล้เคียงกับวาฬบรูด้า ถูกค้นพบครั้งแรกในปี 2546 ลักษณะที่แตกต่างจากวาฬบรูด้าคือมีขนาดเล็กกว่า ตัวผู้ที่โตเต็มวัยยาวเพียง 10 เมตร ตัวเมียยาวเพียง 11.5 เมตร รอยจีบใต้ลำคอมีจำนวนมากกว่า คือ 80 – 90 รอยจีบ และมีครีบหลังที่สูงกว่าและมีความโค้งน้อยกว่าของวาฬบรูด้า ด้วยความเป็นสัตว์หายากในหมู่สัตว์หายาก ทำให้ปัจจุบันยังไม่มีใครทราบจำนวนที่แน่นอน ถูกขึ้นบัญชีเป็นสัตว์ป่าสงวนในปี 2559 วาฬโอมูระ ตั้งชื่อเป็นเกียรติแก่ Hideo Omura ผู้ค้นพบ
เต่ามะเฟือง (Dermochelys coriacea)
18.เต่ามะเฟือง (Dermochelys coriacea) มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาเต่าที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน ความยาวของลำตัวถึง 1.8 เมตร ที่เรียกเต่ามะเฟืองเพราะไม่มีแผ่นกระดองหลังและกระดองใต้ท้องเช่นเต่าทะเลทั่วไป แต่กระดองหลังมีลักษณะคล้ายแท่งยางแข็งที่มีสันนูนขึ้นตามยามจำนวน 7 สัน จึงมีรูปร่างคล้ายผลมะเฟือง เต่ามะเฟืองมีจะงอยปากที่สบกันเหมือนกรรไกร จึงมักกินอาหารที่อ่อนนุ่ม เช่น แมงกะพรุน แพลงก์ตอน สาหร่ายน้ำลึก
เต่ามะเฟืองปกติจะใช้ชีวิตอยู่ในท้องทะเลห่างจากฝั่งมาก แต่เต่าตัวเมียจะวางไข่ 4-6 ครั้งในฤดูหนึ่งๆ ไข่มีขนาดใหญ่กว่าเต่าทะเลชนิดอื่นๆ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางราว 7-8 ซม. จำนวนไข่เฉลี่ย 64-104 ฟอง บริเวณวางไข่ในประเทศไทยส่วนใหญ่อยู่ทางชายฝั่งด้านทิศตะวันตก โดยเฉพาะในจังหวัดภูเก็ตและพังงา เดิมเต่ามะเฟืองเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง แต่ในปี 2559 ถูกเลื่อนขึ้นมาเป็นสัตว์ป่าสงวน กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช เปิดเผยเมื่อปี 2560 ว่าไม่พบเต่ามะเฟืองวางไข่มาตั้งแต่ปี 2556 ภัยคุกคามสำคัญคือการติดแหอวนประมง และการทิ้งขยะลงท้องทะเล
ฉลามวาฬ (Rhincodon typus)
19.ฉลามวาฬ (Rhincodon typus) เป็นปลาฉลามเคลื่อนที่ช้าที่กินอาหารแบบกรองกิน เป็นปลาขนาดใหญ่ที่สุด เท่าที่พบคือยาวถึง 12.65 เมตร หนัก 21.5 ตัน รายงาน “การแพร่กระจาย และการแพร่กระจายของฉลามวาฬในพืนที่อ่าวไทยตอนกลาง” ที่จัดทำโดย กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พบว่า ระหว่างปี 2550-2560 พบฉลามวาฬบริเวณหินใบ ใกล้กับเกาะเต่า จ.สุราษฎร์ธานี บ่อยที่สุด
สำหรับประเทศไทยนั้นฉลามวาฬที่พบความยาวเฉลี่ย 3-7 เมตร บริเวณอ่าวไทยตอนกลางนั้นเป็นถิ่นที่อยู่ของฉลามวาฬ พบได้มากช่วงเดือน พ.ค. เพราะอุณหภูมิสูงและแสงแดดดี เหมาะสมกับการเจริญโตของแพลงก์ตอนอันเป็นอาหารของปลาชนิดนี้ ฉลามวาฬทั่วโลกเผชิญภัยคุกคามจากมนุษย์ที่นิยมล่าเอา “ครีบ” ไปทำเมนูราคาแพงอย่าง “หูฉลาม” ตามความเชื่อของบางชนชาติที่ว่าหูฉลามเป็นยาอายุวัฒนะ
ทั้งหมดนี้ถือเป็น “ที่สุดของสัตว์หายาก” ในประเทศไทย บางชนิดสูญพันธุ์ไปแล้วก็น่าเสียดาย แต่บางชนิดที่ยังมีหลงเหลืออยู่ก็ขอ “วิงวอน” กับสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า “มนุษย์” ผู้ที่ยกย่องตนเองว่าเป็น “สัตว์ประเสริฐ” เหนือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ทั้งปวงบนโลกใบนี้..หากใครพบเจอหรือทราบข่าวถิ่นที่อยู่ ได้โปรดอย่าได้พยายามไปจับไปล่าเขาเลย
ให้เขาใช้ชีวิตอย่างสงบ..ในผืนป่าและท้องทะเลต่อไปเถิด!!!
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เปิดโผ 19 สัตว์ป่าสงวนในไทยอนาคตจะรอดเงื้อมมือมนุษย์หรือไม่
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี