"ออกหนาวเข้าร้อน" หรือตรงกับช่วงเดือน ก.พ. - เม.ย. ของทุกปี เวลาแบบนี้สำหรับทางภาคเหนือและภาคอีสานตอนบนก็ดูจะเป็น "ข่าวธรรมเนียมประจำปี" ไปแล้วกับปัญหา "หมอกควัน-ไฟป่า" ซึ่งสาเหตุสำคัญมาจากการเผาเพื่อหาเห็ดบางชนิดบ้าง หรือที่ถูกพูดถึงกันมากในระยะหลังๆ คือกรณี "เผาป่าปลูกข้าวโพด" ชาวบ้านบุกรุกเขตป่าจนบางแห่งกลายเป็น "เขาหัวโล้น" เพื่อปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ส่งให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่
แน่นอนว่าคงไม่ยุติธรรมนักหากคนในเมืองจะกล่าวโทษแต่เกษตรกรในชนบทว่าเป็นคนทำลายป่าไม้และก่อมลพิษ เพราะปลายทางของอาหารสัตว์นั้นก็คือเนื้อสัตว์ต่างๆ ที่ทุกคนมีส่วนร่วมบริโภค อีกทั้งคนอีกมากมีทางเลือกในชีวิตไม่มากนัก ดังเสียงสะท้อนของชาวบ้านที่มักย้อนถามว่า "ถ้าไม่ให้ชาวบ้านปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์แล้วจะให้ทำอะไร?" กับบรรดาผู้ที่ต่อว่าต่อขานพวกเขาเสมอมา
บ้านก้างปลา ตั้งอยู่ที่ เทศบาลตำบลศรีสองรัก อ.ด่านซ้าย จ.เลย มีพื้นที่กว่า 9,965 ไร่ ส่วนใหญ่เป็นป่าสงวน มีประชากรอาศัยอยู่ราว 223 คน มีทั้งสิ้น 60 ครัวเรือน ด้วยสภาพภูมิประเทศเป็นที่ลาดชันและเชิงเขา พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นเทือกเขาสลับซับซ้อน มีความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 500 -1,100 เมตร มีพื้นที่ราบระหว่างหุบเขาเป็นที่ราบลุ่มแคบๆ สลับกับหุบเขาเพียงร้อยละ 4-5 ของพื้นที่ทั้งหมดถูกใช้เป็นที่อยู่อาศัยและพื้นที่ทำการเกษตร
เมื่อเวลาผ่านไป ที่ดินป่าไม้จึงถูกเปลี่ยนไปเป็นพื้นที่เกษตรอย่างถาวรและต่อเนื่อง แต่การนำไปใช้ประโยชน์ด้านการเพาะปลูกจะประสบปัญหาการชะล้างการพังทลายของหน้าดิน หากไม่มีระบบการอนุรักษ์ดินและน้ำที่ดีพอ โดยเฉพาะหน้าดินที่มีดินอยู่น้อย ยิ่งมีปัญหามาก นอกจากก่อให้เกิดภาวะเขาหัวโล้นแล้ว การทำเกษตรโดยการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่มีการใช้สารเคมีในปริมาณมากๆ ยังส่งผลกระทบต่อคนในพื้นที่ราบลุ่มด้วย
ผศ.ดร.เอกรินทร์ พึ่งประชา อาจารย์ประจำภาควิชามานุษยวิทยา คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร หัวหน้าทีมวิจัยโครงการ "Smart Farmer เกษตรทางเลือกและความมั่นคงทางอาหาร (2559-2560)" และโครงการ การเพิ่มศักยภาพเกษตรกรและหมู่บ้านต้นแบบการผลิตและการตลาดสีเขียว มาตรฐานด่านซ้ายกรีนเนตฯ (2560-2561) 2 โครงการวิจัยที่มุ่งหวังยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร เล่าว่า แม้บ้านก้างปลาจะเป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆ แต่วิถีชีวิตของคนในหมู่บ้านส่งผลกระทบทั้งต่อชาวบ้านในพื้นที่ลุ่ม และต่อ "ลุ่มน้ำหมัน" แหล่งน้ำสำคัญในพื้นที่
ผศ.ดร.เอกรินทร์ พึ่งประชา
“ต้องทำให้เข้าใจวิถีชีวิตและหาแนวทางแก้ปัญหาไปพร้อมๆ กัน เพราะเราไม่สามารถไปบอกให้ชาวบ้านอย่าทำลายป่า อย่าปลูกข้าวโพด ทำให้ต้องมาคิดใหม่” ผศ.เอกรินทร์ ระบุ
นักวิชาการผู้นี้ ที่โครงการของเขาได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เล่าต่อไปว่า จากการสำรวจวิถีชีวิตของชาวบ้านก้างปลา พบว่าส่วนใหญ่จะปลูกข้าวโพดเฉลี่ย 40-50 ไร่ต่อครัวเรือน และหากให้ทำกันเช่นนี้ต่อไปจำนวนเขาหัวโล้นย่อมต้องเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน จึงทดลองใช้พื้นที่ 1 ไร่ของแกนนำหมู่บ้านมาปลูก “พริก” โดยหวังว่าจะกลายเป็น “พืชทางเลือก” นอกเหนือจากการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพียงทางเดียว
“การเลือกปลูกพริกถือว่าค่อนข้างเสี่ยง แต่มองว่าหากทำสำเร็จจะสามารถสร้างรายได้ถึง 3 เท่าตัวเมื่อเทียบกับการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โดยผลผลิตพริกสามารถเก็บขายได้ทุก 3-4 เดือน ขณะที่การข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มีรายได้เพียงปีละ 1 ครั้ง และในระหว่างสัปดาห์มีการปลูกผักสวนครัวปลอดภัยขาย พอชาวบ้านเริ่มเห็นรายได้เกิดความเชื่อมั่นจึงหันมาทำเกษตรทางเลือกเพิ่มมากขึ้น” เขากล่าว
ผลการทดลอง “1 ปีผ่านไป” พบว่าน่าพอใจ กล่าวคือ “ชาวบ้านร้อยละ 80 ลดการปลูกข้าวโพด” บางรายถึงกับ “ลาขาด” เลิกปลูกไปเลยก็มี หันมาปลูกพริกและผักสวนครัวแทน เพราะโครงการนี้มิได้เพียงแต่ส่งเสริมให้ปลูกเท่านั้น แต่ยัง “หาตลาด” ให้ด้วย เช่น โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชด่านซ้าย ขายทุกวันจันทร์ , ลานเอนกประสงค์หน้าที่ว่าการอำเภอด่านซ้าย ขายทุกวันอังคาร ศุกร์และวันประชุมประจำเดือนของกำนันผู้ใหญ่ และตลาดประชารัฐ
พริกและผักสวนครัว : ทางเลือกทดแทนการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของชาวบ้านก้างปลา
ผศ.เอกรินทร์ กล่าวสรุปบทเรียนจากโครงการครั้งนี้ว่า "Smart Farmer" จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ 1.ต้องเป็นคนพร้อมเปิดใจรับความรู้ใหม่ๆ หากไม่เห็นด้วยสามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนกันได้ พร้อมที่จะปรับเปลี่ยนรูปแบบการปลูกพืชใหม่ๆ พร้อมที่จะก้าวทันเทคโนโลยี และพร้อมที่จะขับเคลื่อน กับ 2.เรื่องขององค์ความรู้ การจัดการดินที่มีประสิทธิภาพ การจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพสูงสุด และการจัดการโรคพืช ที่เราจะต้องนำความรู้ใส่เข้ามาให้กับเกษตรกรด้วย
เช่น การตรวจคุณภาพดิน ปุ๋ยสั่งตัด การใช้สารเคมี การใช้พลาสติกคลุมหญ้า หรือการใช้น้ำแบบรู้คุณค่ามากขึ้นปรับมาใช้สปริงเกอร์หรือระบบน้ำหยดแทนจากเดิมที่ไม่เคยมี นอกจากนี้ยังมีการใช้ความรู้หลายอย่างที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์เข้าไปให้ชาวบ้าน และเมื่อผสมผสานกับฐานความรู้ภูมิปัญญาเดิมก็จะนำไปสู่องค์ความรู้ของชุมชนในรูปแบบที่เหมาะสมกับนิเวศของชุมชนเอง
ตลาดปลอดภัย ณ รพ.สมเด็จพระยุพราชด่านซ้าย
“ภายใน 1 สัปดาห์ชาวบ้านมีรายได้จากการขายผักปลอดภัยเพิ่มขึ้นประมาณ 1,500 บาท/ครัวเรือน ที่สำคัญลดต้นทุนในการผลิตและได้สุขภาพที่ดีขึ้น และจากความสำเร็จของหมู่บ้านก้างปลา กลายเป็นโมเดลหรือหมู่บ้านต้นแบบ Smart Farmer ให้กับหมู่บ้านอื่นๆ สนใจหันมาทำตาม เกิดการขับเคลื่อนไปยังพื้นที่อื่นๆ เกิดการขยายผลงานวิจัยเพิ่มขึ้น” ผศ.เอกรินทร์ กล่าวถึงความสำเร็จ
เมื่อการบุกรุกป่าลดลง แหล่งต้นน้ำและผืนป่าก็จะได้รับการฟื้นฟู ปัจจุบันหากใครได้มีโอกาสไปเยือนหมู่บ้านก้างปลาจะเริ่มเห็นการปลูกไม้ผลไม้ยืนต้นเข้ามาแทนที่การปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทุเรียน มะขาม ส้ม ลิ้นจี่ ลำไย อโวคาโดและอื่นๆ ต่อไปในอีก 5 ปีข้างหน้า ที่นี่จะเกิดความหลากหลายกลายเป็นวนเกษตรขึ้นแทนที่ภาพเขาหัวโล้น “ผืนป่า” จะกลับคืนมาในท้ายที่สุด และคงจะดีไม่น้อยหากมีการขยายผลไปยังพื้นที่อื่นๆ
เพราะเชื่อเถิดว่า..หากมีหนทางอื่นที่มั่นคงกว่าในชีวิต คนส่วนใหญ่คงไม่มีใครเลือกที่จะทำในสิ่งผิดอย่างแน่นอน!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี