“สังคมสูงวัย” หรือภาวะที่ประชากรอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สวนทางกับประชากรวัยเด็ก (อายุ 0-14 ปี) และวัยทำงาน (อายุ 15-59 ปี) ที่มีแนวโน้มลดลง โดยเกณฑ์ของ องค์การสหประชาชาติ (UN) ได้แบ่งสังคมสูงวัยเป็น 3 ช่วง คือ 1.สังคมสูงวัย มีสัดส่วนประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 10 ของประชากรทั้งหมด 2.สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ มีสัดส่วนประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด และ 3.สังคมสูงวัยระดับสุดยอด มีสัดส่วนประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด
สำหรับประเทศไทย..การพยากรณ์ของ “สภาพัฒน์” สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ชี้ว่าจะเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ในปี 2564 นำมาสู่การให้ความสำคัญของรัฐบาล อาทิ มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 8 พ.ย. 2559 เรื่อง มาตรการรองรับสังคมผู้สูงอายุ ทั้งด้านการจ้างงาน การปฏิรูประบบบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ รวมถึงด้าน “ที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ” ทั้งการก่อสร้างและสินเชื่อ
ผศ.ดร.อันธิกา สวัสดิ์ศรี คณบดีคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) กล่าวถึงประเด็นที่อยู่อาศัยของผู้สูงอายุว่า จากผลการศึกษาพบบริบทการส่งเสริมบ้านพักสำหรับคนสูงอายุในประเทศไทยนั้น เหมาะสมกับแนวคิด “Aging in Place” หรือ “ชราในถิ่นที่อยู่อาศัย” หมายความว่า “ไม่ควรย้ายผู้สูงอายุไปอยู่ที่ใหม่ที่ไม่คุ้นเคย” ส่งผลดีต่อสภาวะและจิตใจของผู้สูงอายุมากกว่าการย้ายไปอยู่ในที่ใหม่ ซึ่งค่อนข้างต่างจากสิ่งที่เป็นมาในอดีตที่นิยมย้ายผู้สูงอายุไปอยู่บ้านพักคนชรา
“ปัจจุบันเทคโนโลยีได้พัฒนาก้าวหน้าไปไกล ลูกหลานสามารถดูแลผู้สูงอายุผ่านเทคโนโลยีอันทันสมัยได้ ไม่ว่าจะเป็นระบบแจ้งเตือนการหกล้ม หรือการติดกล้องวงจรปิดเชื่อมต่ออินเตอร์เนต ส่งสัญญาณจากที่บ้านไปยังสมาร์ทโฟนได้ทุกที่ทุกเวลา” ผศ.ดร.อันธิกา กล่าว
แต่เนื่องจากข้อจำกัดด้านสุขภาพของผู้สูงอายุที่ไม่แข็งแรงเหมือนคนหนุ่มสาว ในทางปฏิบัติจึงจำเป็นต้องมีการปรับปรุงบ้านพัก ให้สอดคล้องและเหมาะสมกับการอยู่อาศัย เช่น การปรับปรุงห้องน้ำ การลดพื้นที่ต่างระดับ การทำทางลาดเพื่อง่ายต่อการเดินและเข็นรถวีลแชร์ขึ้น-ลง การย้ายห้องนอนจากชั้นบนลงมาด้านล่าง แต่ในบางครอบครัวมีความเชื่อว่าผู้ใหญ่ต้องอยู่ข้างบน ก็อาจพิจารณาติดตั้งลิฟต์หรือแพลตฟอร์มลิฟต์ (Platform Lift) ประเภทลิฟต์ราวบันได เป็นต้น
ขณะเดียวกันในส่วนของชุมชนเองก็ต้องมีการปรับสภาพแวดล้อม และวางระบบโครงสร้างต่างๆ โดยออกแบบเมืองให้มีความเหมาะสมเอื้อต่อการใช้ชีวิต เช่น การสร้างพื้นที่ส่วนกลางให้ผู้สูงอายุมาพบปะและทำกิจกรรมร่วมกัน การทำที่นั่งพักทุกๆ 200 เมตร การขยายทางเท้าและเคลียร์สิ่งกีดขวาง การเปลี่ยนรถเมล์เป็นแบบชานต่ำ หรือแม้กระทั่งการส่งเสริมให้ห้างสรรพสินค้ามีรถวีลแชร์ให้ยืม เพื่อส่งเสริมให้ครอบครัวพาผู้สูงอายุมาใช้ชีวิตนอกบ้าน
“การปรับปรุงบ้านพักให้สะดวกสบายและปลอดภัยสำหรับคนแก่ จำเป็นต้องใช้งบประมาณจำนวนไม่น้อยขั้นต่ำเฉลี่ยอยู่ที่หลังคาเรือนละ 1-2 แสนบาท ดังนั้น แนวทางนี้ต้องอาศัยการสนับสนุนจากภาครัฐ แม้ว่าปัจจุบันกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มีการจัดสรรงบประมาณเงินให้เปล่า สนับสนุนค่าปรับปรุงบ้านเรือนสำหรับผู้สูงอายุ หลังคาเรือนละ 20,000 บาท แต่ยังคงไม่เพียงพอ จึงอาจพิจารณามาตรการสนับสนุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ จากสถาบันการเงินของรัฐเพื่อช่วยเหลืออีกทางหนึ่ง” ผศ.ดร.อันธิกา เสนอแนะ
อย่างไรก็ตาม สำหรับ “ผู้สูงอายุที่อยู่คนเดียวไม่มีลูกหลาน” บ้านพักคนชราก็ยังมีความสำคัญ ดังที่รัฐบาลมีโครงการจัดหาพื้นที่ในการสร้างหรือพัฒนาบ้านพักคนชรา ในรูปแบบของ Senior Care Nursing Home และใช้มาตรการทางภาษีเป็นแรงจูงใจให้เอกชนเข้ามาลงทุน ดังจะเห็นจากหลายจังหวัดมีการก่อสร้างที่อยู่อาศัยลักษณะนี้เพื่อรองรับประชากรวัยเกษียณชาวต่างชาติ “สร้างรายได้ให้ประเทศไทย” ได้อีกช่องทางหนึ่ง ซึ่งภาครัฐอาจปรับปรุงกฎหมายที่ดินและผังเมือง เปิดช่องให้นำที่ดินเกษตรกรรมบางพื้นที่ที่มีศักยภาพมาใช้ในเรื่องนี้ได้
ทั้งนี้หากมองไปในกระแสนิยมของโลก แนวคิดเรื่องการก่อสร้างสาธารณูปโภคต่างๆ ซึ่งแต่เดิมนั้นคิดไว้เพียงเพื่อ “คนร่างกายดีสุขภาพสมบูรณ์” เท่านั้น ทว่าในยุคหลังๆ โดยเฉพาะในหลายประเทศที่เจริญแล้ว แนวคิดได้เปลี่ยนไปเป็นการก่อสร้างสาธารณูปโภคที่ “ทุกคนสามารถใช้งานได้” ไม่ว่าจะเป็นคนร่างกายปกติ คนพิการ รวมถึงผู้สูงอายุ เพราะคนในสังคมมีความแตกต่างหลากหลาย
“ความท้าทายทั้งในเรื่องความเข้าใจเรื่องสิทธิความเป็นมนุษย์ และโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนไปจากที่เคยมีสัดส่วนเยาวชนมากกว่าคนสูงอายุ กำลังจะกลายเป็นสังคมที่จะมีผู้สูงอายุในสัดส่วนที่เพิ่มมากขึ้น เร็วกว่าอัตราการเกิดใหม่ของประชากร หรือ 1:4 ในอีกประมาณยี่สิบปีข้างหน้า ดังนั้น งานออกแบบสภาพแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ อาคาร สถานที่ต่างๆ จึงถูกความท้าทายนั้นทำให้ต้องกลับมาทบทวนกระบวนการออกแบบกันใหม่” คณบดีคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สจล. ฝากประเด็นทิ้งท้าย
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี