20 ก.พ. 2561 นายสุพัฒน์ หวังวงศ์วัฒนา อดีตอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กล่าวในงานเสวนา “ภัยร้าย ‘ฝุ่น’ กลางเมือง” ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) ถึงปัญหาหมอกควันและฝุ่นละออกในกรุงเทพฯ ขณะนี้ว่า ในความเป็นจริงแล้วสถานการณ์มลพิษทางอากาศในกรุงเทพฯ ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน เหตุเพราะมีการปรับปรุงคุณภาพของน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นน้ำมันเกรดยูโร 4 (EURO IV) ตั้งแต่ปี 2555 หรือรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่เครื่องยนต์ทั้งเบนซินและดีเซลก็เป็นมาตรฐานยูโร 4 เช่นกัน รวมทั้งมอเตอร์ไซค์ที่ผลิตเป็นเครื่องยนต์ 4 จังหวะทั้งหมดมาตั้งแต่ปี 2550
“เชื้อเพลิงสะอาดกับรถที่สะอาดเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้มลพิษปรับตัวลง อย่างสมัยก่อนกำมะถันที่ใส่ในน้ำมันเบนซินอยู่ที่ 1,000 พีพีเอ็ม (ppm) ตอนนี้เหลืออยู่ 50 และในอนาคตจะเหลือแค่ 10 พีพีเอ็ม ส่วนน้ำมันดีเซลแต่ก่อน 10,000 พีพีเอ็ม วันนี้ก็ลงมาเหลือ 50 ตั้งแต่ปี 2555 แล้วน้ำมันนี้มีผลกับรถเก่าด้วย ถ้าเอาน้ำมันดีไปใช้กับรถเก่า ค่ามลพิษก็ลดลง หรืออย่างมอเตอร์ไซค์วันนี้ก็เป็น 4 จังหวะและมีอุปกรณ์กำจัดไอเสีย แต่เสียดายที่พวกบิ๊กไบค์ทั้งหลายไปเปลี่ยนท่อไอเสีย แล้วไปถอดของพวกนี้หมด” นายสุพัฒน์ ระบุ
สุพัฒน์ หวังวงศ์วัฒนา
อดีตอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตามด้วยความที่จำนวนรถยนต์ในกรุงเทพฯ เพิ่มมากขึ้น โดยปัจจุบันมีประมาณ 9 ล้านคัน มากกว่าเมื่อ 20 ปีก่อนที่มีเพียง 2 ล้านคัน ทำให้ปริมาณมลพิษยังคงสูง โดยเฉพาะในช่วงเดือน ม.ค.-เม.ย. ของทุกปี เนื่องจากเป็นช่วงรอยต่อระหว่างฤดูหนาวกับฤดูร้อนซึ่งอากาศจะนิ่ง มลพิษจึงสะสมได้ง่ายโดยเฉพาะในเขตเมือง ประกอบกับในกรุงเทพฯ มีตึกสูงจำนวนมาก การระบายมลพิษออกจากเมืองก็ยิ่งยากขึ้นไปด้วย
ตนจึงเสนอแนะว่า ในระยะยาวต้องผลักดันให้เครื่องยนต์ของรถยนต์และน้ำมันเชื้อเพลิงเปลี่ยนไปใช้เกรดยูโร 5 และยูโร 6 (EURO V-EURO VI) ตามลำดับ ซึ่งจากการที่เคยหารือกับผู้ประกอบการด้านเชื้อเพลิงและผู้ผลิตรถยนต์ค่ายต่างๆ ได้ข้อสรุปว่า ในส่วนของน้ำมันจะเปลี่ยนได้ทั้งหมดตั้งแต่ต้นปี 2566 เป็นต้นไป ส่วนเครื่องยนต์ของรถยนต์นั้นในส่วนของรถขนาดเล็กจะเปลี่ยนได้ช่วงกลางปี 2566 ส่วนรถขนาดใหญ่จะเปลี่ยนได้ในช่วงกลางปี 2569
(บน) จำนวนรถจดทะเบียนสะสม ณ สิ้นปี 2560 , (ล่าง) จำนวนรถจดทะเบียนใหม่ในปี 2560
ที่มา : กรมการขนส่งทางบก
แต่มาตรการระยะสั้น นั่นคือช่วงวิกฤติของปี หรือ 90 วันระหว่างเดือน ก.พ.-เม.ย. ในเขตกรุงเทพฯ ควรขยายช่วงเวลาห้ามวิ่งรถบรรทุกในให้มากขึ้นกว่าเกณฑ์เดิมที่มีอยู่ รวมทั้งขยายไปถึงรถบรรทุกขนาดเล็กด้วย นอกจากนี้ควรห้ามจอดรถริมถนนสายหลักตั้งแต่เวลา 06.00-21.00 น. หรืออาจต้องจำกัดการใช้รถยนต์โดยแยกทะเบียนเลขคู่เลขคี่ รวมทั้งห้ามจุดไฟเผาสิ่งต่างๆ ในที่โล่งทั้งกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพื่อบรรเทาปัญหามลพิษดังกล่าว อย่างไรก็ตามเรื่องนี้คงต้องทำความเข้าใจและขอความร่วมมือทั้งจากภาคธุรกิจเอกชน และจากประชาชนทุกคนด้วย
“ตรงนี้คือเรื่องสุขภาพของท่านเอง ท่านขับรถเข้ามา ท่านจอดรถติดขัด ท่านก็สูดหายใจของท่านนี่แหละ อยู่ในกรุงเทพมหานคร สุขภาพของท่านท่านจะดูแลไหม ลูกหลานของท่าน ครอบครัวของท่านท่านจะดูแลไหม ถ้าหากไม่ช่วยกัน เพราะคนที่เป็นคนปล่อยมลพิษออกมาไม่ใช่ภาครัฐโดยตรง แต่เกิดจากประชาชนที่เข้ามาทำกิจกรรมต่างๆ แล้วมีมลพิษเกิดขึ้น” นายสุพัฒน์ กล่าวย้ำ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี