"รถชนสัตว์ป่า" ภาพสะเทือนใจที่พบเห็นในข่าวได้เป็นระยะๆ ล่าสุดเป็นเหตุเกิด เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน บนถนน 3259 โดย "หมอล็อต" น.สพ.ภัทรพล มณีอ่อน สัตวแพทย์สังกัดกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัวเมื่อ 23 ก.พ. 2561 ที่ผ่านมาว่ามีเหตุ “รถชนช้างป่า” ทำให้ช้างได้รับบาดเจ็บบริเวณข้อเข่าขาหลังขวา และสุ่มเสี่ยงที่อาการจะยิ่งทรุดหนักลงหากยังเคลื่อนไหวในสภาพดังกล่าว
สำหรับถนนสาย 3259 มีระยะทางทั้งหมดกว่า 100 กิโลเมตร เชื่อมระหว่าง จ.ฉะเชิงเทรา กับ จ.สระแก้ว เป็นเส้นทางความมั่นคงที่กองทัพบก (ทบ.) ก่อสร้างในปี 2532 โดยมีบางส่วนของเส้นทางตัดผ่านป่าพนมสารคาม ท้องที่ อ.ท่าตะเกียบ จ.ฉะเชิงเทราไปสิ้นสุดที่ อ.วังสมบูรณ์ จ.สระแก้ว จากนั้นในปี 2535 ถนนเส้นนี้ได้อยู่ในความดูแลของกรมทางหลวง ส่วนพื้นที่ป่านั้นอยู่ในความดูแลของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน
ถนนหมายเลข 3259 : (บน) ระยะทางทั้งหมด , (ล่าง) ระยะทางที่ตัดผ่านเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน
งานวิจัยเรื่อง "ผลกระทบของถนนที่ตัดผ่านป่าต่อการสูญเสียสัตว์มีกระดูกสันหลัง" ผลงานของ ไสว วังหงสา-กัลยาณี บุญเกิด เผยแพร่เมื่อปี 2544 ระบุว่า ช่วงเดือน ส.ค. 2541- ก.ย.2542 พบมีสัตว์ตายบนถนนเส้นนี้ 14,408 ตัว เป็นสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกจำนวน 9,835 ตัว สัตว์เลื้อยคลาน 3,205 ตัว สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 1,051 ตัว และนก 317 ตัว งานวิจัยชิ้นนี้ยังกล่าวถึงช่วงเวลาที่สัตว์มักถูกรถชนตายมากที่สุด จะอยู่ระหว่าง 18.00-20.00 น. มากที่สุด เหตุเพราะเป็นช่วงที่สัตว์ป่าออกหาอาหาร สัญชาตญาณการการระวังภัยจึงลดลง
นอกจากนี้ในกรณีสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกที่มีจำนวนตายมากที่สุด มีนิสัยหากินช่วงสั้นๆ ตอนหัวค่ำ ก่อนจะไปหาที่พักผ่อนในจุดอุณหภูมิสูงเพื่อย่อยอาหาร ซึ่งจุดที่อุณหภูมิสูงที่สุดสำหรับบริเวณนั้นก็คือบนผิวถนน โดยจุดเสี่ยงที่สุดคือถนนที่มีการตัดขวางลำน้ำแล้ววางท่อพร้อมทำสะพานข้ามให้น้ำลอดผ่าน จุดดังกล่าวจะมีสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกและสัตว์เลื้อยคลานชุกชุม
นอกจากนี้ หากเป็นกรณีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม พบว่าจุดเสี่ยงคือบริเวณที่ถนนมีสภาพชำรุด เพราะจะมีเศษพืชผลทางการเกษตร เช่น อ้อย ข้าวโพด มันสำปะหลัง ร่วงหล่นบนพื้นถนน จึงเป็นจุดที่สัตว์กลุ่มนี้มักจะมารออาหารดังกล่าว โดยสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจะตายมากในช่วงเดือน ม.ค.-มี.ค. อันเป็นฤดูขนย้ายผลผลิตทางการเกษตรผ่านพื้นที่ป่า คล้ายกับในต่างประเทศกรณีกวางมูส (Moose) ที่อาหารส่วนหนึ่งคือเกลือ มักถูกรถชนตายมากบริเวณแหล่งน้ำริมถนนที่น้ำมีส่วนผสมของเกลือ เนื่องจากเกลือนั้นมนุษย์ถูกนำมาใช้ละลายหิมะที่ปกคลุมถนนช่วงฤดูหนาว
แม้รถส่วนใหญ่จะไม่ได้ขับผ่านถนนนี้ด้วยความเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด แต่ผลการศึกษานี้นำไปสู่ข้อเสนอให้ "งดใช้ถนนช่วงกลางคืน" พร้อมๆ กับการปรับสภาพถนน และไม่ทำกิจกรรมใดๆ ที่เป็นการชักนำสัตว์ป่าเข้ามาใกล้ถนน เช่น การทำโป่งดินเทียม ทำแหล่งน้ำ ปลูกพืชอาหารสัตว์ เพราะจะดึงดูดสัตว์ป่าขนาดใหญ่เข้ามา กระทบทั้งต่อสัตว์ป่าและผู้คนที่ขับรถผ่านถนน ควรไปทำในพื้นที่ห่างจากถนนอย่างน้อย 1 กิโลเมตร เพราะต้นไม้จะป้องกันทั้งอากาศเสียและเสียงจากรถยนต์ รวมถึงการไม่ทิ้งขยะตามข้างทางเพราะจะดึงดูดสัตว์ขนาดเล็ก
ที่ผ่านมามีการปรับเปลี่ยนเวลาการปิดถนนเส้น 3259 ช่วงที่ผ่านป่าเป็นระยะๆ เช่นปี 2550 ที่ปิดระหว่างเวลา 21.00-05.00 น. ต่อมาปี 2555 มีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อ 7 ส.ค. 2555 ให้แบ่งเวลาปิดเป็น 2 ช่วง คือเดือน ม.ค.-เม.ย. ปิดเวลา 21.00-05.00 น. และเดือน พ.ค.-ธ.ค. ปิดเวลา 18.00-06.00 น. ซึ่งจากมาตรการดังกล่าว พบว่าจำนวนสัตว์ถูกรถชนตายลดลงเมื่อเทียบกับช่วงที่ยังให้รถยนต์สัญจรได้ตลอดเวลา
แต่สำหรับการ "ปิดถาวร" ต้องบอกว่าไม่ง่าย อาทิ เมื่อปี 2551 และ 2554 เคยมีข้อเสนอดังกล่าว แต่ถูกตีตกไปเพราะอาจกระทบต่อการสัญจรไปมาของประชาชนหลายตำบลที่อยู่ใกล้เคียง และปัจจุบันก็ยังไม่ได้ข้อมูล ซึ่งก็ต้องบอกว่า "น่าเห็นใจ" ทั้งฝ่าย "นักอนุรักษ์" ที่ห่วงชีวิตสัตว์ป่า เพราะแม้การปิดช่วงกลางคืนจะทำให้สัตว์ป่าถูกรถชนตายลดลงได้จริง แต่ก็ยังมีเหตุเกิดขึ้นอยู่ในช่วงกลางวัน และฝ่าย "ผู้ใช้รถใช้ถนน" เพราะหากดูตามแผนที่แล้ว เส้นทางอื่นๆ ล้วนมีลักษณะอ้อมไกลทั้งสิ้น
คงต้องฝากให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับถนนนี้ช่วยหาทางออก!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี