ใน 3 ทศวรรษที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้างในตลาดแรงงานไทย?..โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงในด้านการมีงานทำ การว่างงาน และความไม่เท่าเทียมกันระหว่างรายได้ของเพศหญิงและชาย การเปลี่ยนแปลงของแรงงานเกิดขึ้นพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของประชากรไทย “ประชากรไทยเพิ่มจาก 53.7 ล้านคนในปี 2530 เป็น 67.7 ล้านคนในปี 2560” และคาดการณ์ว่า “ในอนาคตอันใกล้จำนวนประชากรไทยจะค่อยๆ ลดลง” ซึ่งคาดได้เช่นกันว่าจำนวนแรงงานไทยจะลดลงด้วย
1.ชายเกิดมากกว่าแต่อายุสั้นกว่าหญิง จำนวนเด็กเกิดใหม่มักเป็นชายมากกว่าหญิง แต่อัตราการตายของเด็กชายสูงกว่าหญิง “ในปี 2530 ไทยมีประชากรชายอายุต่ำกว่า 15 ปี มากกว่าหญิงเกือบ 3 แสนคน แต่พอถึงปี 2560 พบว่าผู้ชายจำนวนมากตายเร็วกว่าผู้หญิง ทำให้ประชากรวัย 30-49 ปี ในปี 2560 นั้นเป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 4 แสนกว่าคน” ความแตกต่างของจำนวนประชากรชายหญิงเพิ่มขึ้นในกลุ่มอายุที่สูงขึ้น ปัจจุบันประชากรวัย 50-59 ปี มีผู้หญิงมากกว่าผู้ชายเกือบ 5 แสนคน และเมื่อถึงวัยเกษียณอายุ มีผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 1 ล้านคน
จำนวนประชากรในประเทศไทย ณ สิ้นปี 2560
ที่มา : กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย
2.ชายทำงานนอกบ้านมากกว่าหญิง อัตราการเข้าสู่ตลาดแรงงานของเพศชายสูงกว่าเพศหญิงในทุกกลุ่มอายุ ความหมายคือ ชายทำงานนอกบ้านที่มีรายได้เป็นตัวเงินมากกว่าหญิง “ความแตกต่างนี้มีสูงขึ้นสำหรับประชากรวัยต่ำกว่า 24 ปี” ประชากรวัย 15-19 ปีที่เป็นเพศชายมีอัตราการเข้าสู่ตลาดแรงงานร้อยละ 62 และหญิงร้อยละ 61 ในปี 2530-2539 แต่ถึงปี 2559 ชายวัย 15-19 ปีเพียงร้อยละ 26 เข้าสู่ตลาดแรงงาน และหญิงเข้าสู่ตลาดแรงงานเพียงร้อยละ 13 ซึ่งช่วงอายุ 18-19 ปีนั้นเป็นช่วงที่เด็กเริ่มต้นชีวิตเรียนระดับมหาวิทยาลัย
ใน 3 ทศวรรษที่ผ่านมานี้ ประชากรหญิงอายุ 20-24 ปี เคยเข้าสู่ตลาดแรงงานร้อยละ 79 กลับลดลงเหลือร้อยละ 24 และชายวัย 20-24 ปี เคยเข้าสู่ตลาดแรงงานร้อยละ 90 ลดลงเหลือร้อยละ 74 ผู้หญิงมีสัดส่วนการใช้ชีวิตในการหารายได้นอกบ้านน้อยกว่าชายมาก “เหตุผลหลักของการลดลงของการเข้าสู่ตลาดแรงงานในยุคปัจจุบัน คือ การอยู่ในระบบการเรียนการศึกษาที่ยาวนานขึ้นนั่นเอง” อย่างไรก็ดี แม้หญิงจะทำงานนอกบ้านน้อยกว่าชาย แต่จำนวนและสัดส่วนหญิงที่ทำงานในบ้านนั้นมากกว่าชายตลอดช่วง 3 ทศวรรษ
“การทำงานบ้านถูกตีตราในสังคมไทยว่าต้องเป็นผู้หญิงทำ สัดส่วนของชายที่ไม่เข้าสู่ตลาดแรงงานเพราะทำงานในบ้านมีน้อยกว่าร้อยละ 1 ตลอดช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมา ส่วนประชากรหญิงร้อยละ 8 ทำงานประจำในบ้านในช่วง 2530-2539 กลับเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 14 ในปี 2560 หญิงวัย 15-29 ปีมีสัดส่วนการเพิ่มของการทำงานดูแลบ้านและครอบครัวมากกว่ากลุ่มอายุอื่นๆ”
ข้อสังเกตอีกประการหนึ่งของการทำงานในตลาดแรงงานไทย คือ “แรงงานไทยรุ่นใหม่ๆ เริ่มต้นชีวิตการทำงานช้าลง ในขณะเดียวกันแรงงานรุ่นเก่าๆ หยุดทำงานในวัยที่อายุไม่สูงมากนัก” นั่นคือ ตลอดช่วงอายุขัย แรงงานไทยมีระยะเวลาการทำงานที่สั้นลง ในปี 2559 ประมาณร้อยละ 50 ของชายในวัย 60 ขึ้นไปยังคงทำงานนอกบ้านทั้งที่เมื่อ 30 ปีที่แล้ว (ตอนที่คนกลุ่มนี้อายุ 30-49 ปี ในช่วงปี 2530-2539) ประมาณร้อยละ 98 ของชายกลุ่มนี้เคยทำงานมาก่อน และร้อยละ 28 ของหญิงวัย 60 ปีขึ้นไปเท่านั้นที่ยังคงทำงาน
สัดส่วนโครงสร้างประชากรไทยตามอายุ
ที่มา : วิทยาลัยประชากรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ทั้งที่เมื่อ 30 ปีที่แล้ว (ตอนที่อายุ 30-49 ปี) ประมาณร้อยละ 85 ของหญิงกลุ่มนี้เคยทำงานมาก่อน ทั้ง ๆ ที่คนไทยอายุยืนขึ้นเรื่อยๆ รูปแบบการเกษียณอายุจากการทำงานแทบจะไม่เปลี่ยนแปลงเลยในสามทศวรรษที่ผ่านมา นับตั้งแต่ปี 2530 ถึง 2559 อัตราการอยู่ในกำลังแรงงานของคนไทยวัย 60 ปีขึ้นไปยังคงต่ำ ไม่ถึงร้อยละ 50 สำหรับชาย และไม่ถึงร้อยละ 30 สำหรับหญิง
เป็นที่น่าคิดว่า หากคนไทยอีกไม่นานคาดจะมีอายุเฉลี่ยถึง 90 ปี เราจะยังคงเกษียณอายุเร็วเช่นนี้อีกหรือ ประชากรไทยวัยหนุ่มสาวที่อายุ 15-29 ปี จำนวน 8 แสนคน ไม่อยู่ในกำลังแรงงาน ไม่เรียนหนังสือ และไม่ทำงานที่บ้าน ทำไมคนวัยหนุ่มสาวเหล่านี้ไม่ทำอะไร ไม่มีใครทราบ
ผู้หญิงเข้าเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา (ป.ตรี-ป.เอก) มากกว่าผู้ชาย
ที่มา : รายงาน “สถิติการศึกษาของประเทศไทย ปีการศึกษา 2557-2558” โดยสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา
3.แรงงานหญิงมีการศึกษาสูงกว่าชาย ชายที่ทำงานนอกบ้านเพื่อหารายได้นั้นมีมากกว่าหญิง แต่หญิงที่ทำงานนอกบ้านโดยเฉลี่ยนั้นมีการศึกษาสูงกว่าชาย “ในปี 2560 กำลังแรงงานชายที่มีการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี มีจำนวนมากกว่าหญิง กว่า 4 ล้านคน แต่กำลังแรงงานที่จบปริญญาตรีขึ้นไปเป็นหญิงมากกว่าชาย 9 แสนคน” ประเทศไทยมีกำลังแรงงานในระดับปริญญาตรีเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพิ่มทีละสองเท่าตัวในแต่ละทศวรรษ
จากเฉลี่ย 1.1 ล้านคนในช่วงปี 2530-2539 เป็นกว่า 6 ล้านคนในปี 2560 ในอนาคตจะมีจำนวนกำลังแรงงานหญิงมีการศึกษาสูงมากกว่าชายยิ่งขึ้นอีก เนื่องจากปี 2560 มีผู้หญิงกำลังเรียนระดับมัธยม อาชีวศึกษา และปริญญาตรีขึ้นไป มากกว่าผู้ชายเกือบ 3 แสนคน
4.หญิงว่างงานมากกว่าชาย การเพิ่มขึ้นของกำลังแรงงานที่มีการศึกษาสูงได้ทำให้โอกาสในการหางานทำยากขึ้นด้วย “โดยปกติเรามักเข้าใจกันว่าอัตราการว่างงานของไทยค่อนข้างต่ำ แต่ถ้าดูอัตราการว่างงานตามระดับการศึกษาของชายและหญิงแล้วจะพบว่ากำลังแรงงานที่มีการศึกษาระดับปริญญาตรีมีอัตราการว่างงานสูงที่สุด” ประมาณร้อยละ 2.1 ในปี 2530-2539 เป็นร้อยละ 2.0 ในปี 2550-2559 สำหรับชาย และจากร้อยละ 3.1 เป็นร้อยละ 2.2 สำหรับหญิงในช่วงเวลาเดียวกัน
ตลาดแรงงานของไทยมีความต้องการแรงงานไร้ฝีมือจำนวนมาก ทำให้อัตราการว่างงานของแรงงานที่มีการศึกษามัธยมหรือต่ำกว่าค่อนข้างต่ำ ถ้าสังเกตให้ดีเราจะเห็นป้ายประกาศรับคนทำงานที่มีการศึกษาน้อยนี้มีอยู่ทั่วไปในประเทศไทย อัตราการว่างงานของกำลังแรงงานวัย 15-29 ปี สูงกว่ากำลังแรงงานวัยอื่นๆ หญิงในวัย 15-29 ปีมีอัตราการว่างงานร้อยละ 4.6 ในปี 2560 และชายวัยเดียวกันมีอัตราการว่างงานร้อยละ 3.7
“ตลาดแรงงานไทยมีการเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมกับแรงงานหญิง มองว่าการตั้งครรภ์ของแรงงานเพิ่มต้นทุนให้แก่สถานประกอบการ ในปัจจุบัน เรายังพบว่า ในใบสมัครงานของบางบริษัทมีคำถามแก่ผู้สมัครงานหญิงว่าตั้งครรภ์อยู่หรือไม่ ซึ่งตามกฎหมายนั้น หญิงสามารถลาคลอดได้เป็นเวลา 3 เดือนโดยที่นายจ้างยังต้องจ่ายค่าจ้างให้ด้วย”
ถ้าสังคมไทยยังเห็น “ความสำคัญของการเพิ่มประชากร” สมควรที่จะ “มีนโยบายสนับสนุนแรงงานหญิงที่ทำงานนอกบ้าน” ให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น “ให้โอกาสในการทำงานครึ่งเวลาระหว่างการเลี้ยงดูบุตรในช่วง 1 ปีแรกหลังคลอด” หรือเพิ่มแรงจูงใจทางการเงินแก่หญิงที่มีรายได้สูง เช่น การหักค่าลดหย่อนภาษีสำหรับหญิงที่มีบุตรให้เท่า ๆ กับการหักค่าลดหย่อนในการลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
5.ชายได้รับค่าจ้างสูงกว่าหญิง แม้ว่าผู้หญิงจะมีโอกาสทางการศึกษาในระดับสูงและได้ทำงานนอกบ้านมากขึ้น แต่ค่าจ้างของหญิงมักต่ำกว่าชายตลอดสามทศวรรษที่ผ่านมา มีงานวิจัยมากมายช่วยยืนยันอีกว่า แม้ว่าหญิงจะมีการลงทุนเพื่อการศึกษาและมีประสบการณ์ในการทำงานที่ดีขึ้นแล้วก็ตาม หญิงโดยเฉลี่ยก็ยังคงได้รับค่าจ้างต่ำกว่าชาย คำถามที่จะต้องค้นหาต่อ คือ “หญิงมีคุณสมบัติในการทำงานด้อยกว่าชายหรือ ? หญิงทำงานคนละตลาดแรงงานกับชายหรือ?” หรือมันคือการกดค่าจ้างเพราะว่าเป็นหญิง?
จากรูปเป็นค่าเฉลี่ยของส่วนต่างของค่าจ้างชายที่มากกว่าหญิงและร้อยละของความแตกต่าง จะเห็นว่า ยิ่งการศึกษาสูงขึ้น ความแตกต่างของค่าจ้างของหญิงชายยิ่งสูงขึ้น แต่ช่องว่างระหว่างค่าจ้างหญิงชายเทียบเป็นสัดส่วนกับค่าจ้างของหญิงไม่ได้ขึ้นกับระดับการศึกษา กล่าวคือ ไม่ว่าจะระดับการศึกษาใดๆ ลูกจ้างเอกชนชายมีค่าจ้างสูงกว่าหญิงร้อยละ 22-57 ในปี 2530-2539 ร้อยละ 12-50 ในปี 2540-2549 และร้อยละ 11-32 ในปี 2550-2559 สถานการณ์ดีขึ้นสำหรับแรงงานไร้ฝีมือ แต่กลับแย่ลงสำหรับแรงงานที่จบการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรี
“ถ้าพูดเป็นมูลค่าของความแตกต่างในปี 2560 แล้ว กล่าวได้ว่าหญิงที่มีการศึกษาระดับปริญญาตรีเสียเปรียบชายในระดับการศึกษาเดียวกันเดือนละ 5,000 บาทหรือคิดเป็นร้อยละ 28 ของค่าจ้างของหญิง ทั้งที่การจ้างงานในระดับการศึกษาที่สูงนั้นไม่ได้ต้องการกำลังแรงกายที่มักเป็นข้ออ้างในความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบของแรงงานชาย ในขณะที่งานที่ต้องใช้กำลังแรงกายมากกว่ากลับมีความแตกต่างของค่าจ้างลดลง สัดส่วนความแตกต่างของค่าจ้างของแรงงานหญิงชายที่มีการศึกษาประถมหรือต่ำกว่าลดลงประมาณครึ่งหนึ่งในสามทศวรรษที่ผ่านมา”
โดยสรุป ในช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมา จำนวนประชากรหญิงมีมากกว่าชายเมื่อก้าวเข้าสู่ช่วงอายุที่สูงมากขึ้น หญิงทำงานนอกบ้านเพื่อหารายได้น้อยกว่าชาย หญิงที่ทำงานนอกบ้านมีการศึกษาสูงกว่าชาย หรือแม้ว่าหญิงจะมีการศึกษาระดับเดียวกันกับชายก็ตาม หญิงมักได้รับค่าจ้างต่ำกว่าชาย หญิงในวัยเจริญพันธุ์มีอัตราการว่างงานสูงกว่าชายอย่างชัดเจน
ความไม่เท่าเทียมกันระหว่างหญิงชายในตลาดแรงงานไทย..เปลี่ยนแปลงไปอย่างเชื่องช้ามาก!!!
วรวรรณ ชาญด้วยวิทย์
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI)
-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-
วรวรรณ ชาญด้วยวิทย์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี