“ขณะนี้ทางธนาคารขอทำการอายัดและปิดบัญชีของท่านเพื่อทำการตรวจสอบ ฟังซ้ำกด 0 ติดต่อเจ้าหน้าที่กด 9” ข้อความข้างต้นนี้เป็นเพียงบางส่วนของโปรแกรมอัตโนมัติที่ทางตำรวจ
ไปยึดได้จากมิจฉาชีพแล้วนำมาแสดงในงานเสวนา “ทำอย่างไรจึงจะไม่ตกเป็นเหยื่อแก๊ง Call Center” ณ คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยสามารถตั้งข้อความให้อ้างว่ามาจากที่ใดก็ได้ เช่นในวันที่สาธิตนั้นตั้งว่าเป็นสายโทร.มาจาก “แบงก์ชาติ” ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งหากผู้เสียหายเลือกติดต่อกับเจ้าหน้าที่ ระบบก็จะโอนสายให้ไปพูดคุยกับมิจฉาชีพต่อไป
พ.ต.อ.ชูศักดิ์ ขนาดนิด ผู้กำกับการประจำสำนักงานจเรตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เล่าถึงการจับกุมมิจฉาชีพที่มีพฤติกรรมโทรศัพท์ไปหลอกให้โอนเงินโดยอ้างเหตุต่างๆ นานา หรือที่เรียกกันว่า “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” โดยเป็นความร่วมมือกันระหว่างตำรวจไทยและกัมพูชา เข้าตรวจสอบอาคารร้างแห่งหนึ่งในกัมพูชา และสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้จำนวนหนึ่งพร้อมของกลางหลายรายการ ซึ่งคนร้ายกลุ่มนี้จะโทร.เข้ามาหลอกเหยื่อในไทย
รูปแบบของการหลอกลวงที่พบนั้นจะแบ่งเป็น “3 ทีม” ทำงานเรียกกันไปเป็นลำดับขั้น “ทีมแรก” ที่พูดคุยหลังเป้าหมายหลังกดติดต่อกับเจ้าหน้าที่ผ่านระบบอัตโนมัติแล้ว ทีมนี้จะ “อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์” พูดคุยเพื่อหลอกเอาข้อมูลส่วนบุคคล เช่น ชื่อ-นามสกุล หมายเลขบัตรประชาชน รวมถึงขอเป็นเพื่อนผ่านแอพพลิเคชั่นไลน์ (Line) พร้อมกับบอกเป้าหมายว่า “มีพัสดุให้ไปรับ” และพัสดุนั้นคือ “เงินสด” จำนวนมากพอสมควร
เมื่อเป้าหมายหลงเชื่อทีมแรก สักพัก “ทีมที่ 2” โทร.เข้าไปหาเป้าหมายโดยอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง เช่น ตำรวจ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีแม้กระทั่งอ้างว่าเป็นอัยการหรือผู้พิพากษา บอกว่าเงินสดนั้นอาจพัวพันกับสิ่งผิดกฎหมาย
ซึ่ง “ทีมที่ 2 นี้จะมีจิตวิทยาในการพูดสูง สามารถข่มขู่ให้เป้าหมายเกิดความกลัวขึ้นได้” แม้เป้าหมายจะไม่เคยมีคดีความใดๆ เลยก็ตาม มีการอ้างชื่อเจ้าหน้าที่คนนั้นคนนี้ เช่น อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำสถานีตำรวจต่างๆ อีกทั้งมิจฉาชีพมัก “โทรศัพท์ผ่านเครือข่ายอินเตอร์เนต (VoIP)”และใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่สามารถตั้งค่าให้หมายเลขโทรศัพท์ที่ไปปรากฏบนเครื่องของเป้าหมายเป็นหมายเลขจริงของหน่วยงานราชการที่มิจฉาชีพอ้างถึง ยิ่งทำให้เป้าหมายหลงเชื่อได้ง่าย
นอกจากนี้ยังข่มขู่ให้เป้าหมาย “ออกห่างจากบุคคลอื่นและห้ามบอกใคร” เพราะจะมีความผิดฐานเปิดเผยความลับทางราชการ โดยหลังจากทีมที่ 2 ทำให้เป้าหมายกลัวได้แล้ว ก็จะส่งไม้ต่อให้ “ทีมที่ 3” ซึ่งจะอ้างตัวว่า “สามารถติดต่อผู้บริหารระดับสูงขององค์กรนั้นๆ ให้ช่วยเหลือเรื่องคดีความได้ แต่ขอให้ช่วยโอนเงินไปเข้าบัญชีนั้นบัญชีนี้เป็นการแลกเปลี่ยน” ทั้งนี้เหตุที่เป้าหมายหลงเชื่อเพราะมิจฉาชีพมักอ้างว่าอย่างน้อยก็ยังดีกว่าเดินทางไกลไปให้การ เช่น เป้าหมายอยู่กรุงเทพฯ มิจฉาชีพอาจอ้างว่าต้องไปให้การกับตำรวจที่ จ.เชียงใหม่ หรือ จ.สงขลา เป็นต้น
“80 เปอร์เซ็นต์คนร้ายมักจะอ้างกับเหยื่อว่ามีไปรษณีย์ตกค้าง ที่เหลือก็จะอ้างว่าเป็นหมายศาลตกค้าง หรืออ้างว่าโทรศัพท์จะถูกตัดเพราะไปเกี่ยวข้องกับองค์กรอาชญากรรม ส่วนการถอนเงินแต่ก่อนจะถอนกันในกรุงเทพฯเป็นหลัก ตอนหลังก็ไปถอนต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ แต่ที่น่ากลัวคือการโอนเงินเข้าบิทคอยน์ (BitCoin-สกุลเงินดิจิตอล) เพราะตำรวจจะตามไม่ได้ ถ้าโอนไปให้ตัวแทนที่ไม่ได้อยู่ในประเทศไทย” พ.ต.อ.ชูศักดิ์ กล่าว
ขณะที่ พ.ต.ท.ดร.เทิดสยาม บุญยะเสนา รอง ผกก.สอบสวน สภ.ดอยสะเก็ด อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ เผยว่า จากการสืบสวนยังพบด้วยว่า “ค่าตัวทีมหลอกทั้ง 3 ทีมไม่เท่ากัน” ทีมแรกที่อ้างว่าเป็นไปรษณีย์อาจได้ร้อยละ 4 ของเงินที่หลอกได้ ทีมที่ 2 ที่อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงจะได้เพิ่มมาเป็นร้อยละ 5 และทีมที่ 3 ซึ่งมีจิตวิทยาในการพูดชักจูงสูงที่สุดใน 3 ทีม ที่สวมบทอ้างว่าประสานผู้หลักผู้ใหญ่ในองค์กรต่างๆ ได้ จะได้สูงถึงร้อยละ 15 รวมถึงยังมี “คนเขียนสคริปต์ (Script-บทพูด)” ที่ค่าตัวสูงถึง “หลักล้านบาท” เป็นที่ต้องการของแก๊งต่างๆ ดึงตัวไปร่วมงาน
นอกจากนี้จากที่เคยสอบถามผู้ต้องหาที่จับกุมได้ บางรายให้การว่า “ทราบข้อมูลส่วนบุคคลของเป้าหมายแทบจะละเอียดจนทำให้เป้าหมายหลงเชื่อยอมโอนเงินให้ เพราะมีการซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคล” แต่ข้อมูลนี้ “ทางตำรวจไม่ขอยืนยันว่าจริงหรือไม่” เนื่องจากผู้ต้องหาจะพูดอย่างไรก็ได้ เป็นเรื่องที่ต้องสืบสวนกันต่อไป แต่หลายครั้งพบว่ากว่าจะถึงทีมที่ 3 ทีมแรกหรือทีมที่ 2 นั่นเองที่เป็นผู้สอบถามจนเหยื่อเผลอบอกข้อมูลส่วนบุคคลไปก่อนแล้ว
“ถ้าฟังข่าวจากสื่อมวลชน เราจะมองว่าผู้ต้องหาเป็นคนจิตใจโหดร้ายไปหลอกเอาเงินเก็บเขาไปหมดเลย แต่จากการสอบสวนก็พบว่าคนพวกนี้ไม่ได้เป็นผู้อยู่เบื้องหลังขบวนการ อย่างผู้ต้องหาที่จับได้ที่เป็นชาว จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งพูดภาษาจีนฮ่อและจีนกลางได้ คนพวกนี้ถ้าเขามีโอกาสเรียนหนังสือเขาก็ไม่ทำผิด ส่วนใหญ่ก็รับสารภาพหมด ซึ่ง พ.ร.บ.องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ถ้าผู้ต้องหาให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีศาลสามารถลดโทษได้เหมือนเรื่องยาเสพติด พวกนี้ก็ซัดทอดผู้ต้องหาหลัก 3 คนในมาเลเซีย ตอนนี้กำลังออกหมายจับ” พ.ต.ท.ดร.เทิดสยาม กล่าวถึงอีกมุม
ด้าน ดร.สุพัตรา แผนวิชิต นักวิชาการด้านอาชญากรรมเศรษฐกิจและการฟอกเงิน กล่าวเพิ่มเติมว่า ด้วยความที่กฎหมายปราบปรามการฟอกเงินนั้นใช้หลัก “ยึดก่อนถาม” แม้ไม่เคยเกี่ยวข้องกับสิ่งผิดกฎหมาย แต่เมื่อไปค้าขายได้เงินมา หรือไปซื้อสิ่งของต่อจากผู้อื่นมา หากทรัพย์นั้นพบว่ามีที่มาไม่ปกติ ก็จะต้องถูกอายัดไว้ก่อนแล้วให้ผู้ที่รับหรือรับซื้อต้องไปชี้แจงกับ ปปง. ว่าได้มาโดยสุจริตหรือไม่ การที่มีผู้หลงเชื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์จึงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้
อย่างไรก็ตาม ดร.สุพัตรา ฝากเตือนว่า 1.ตั้งสติ อย่าให้ข้อมูลส่วนบุคคลใดๆ กับมิจฉาชีพที่โทรศัพท์เข้ามา และอย่าโอนเงินตามที่มิจฉาชีพบอกให้ทำโดยเด็ดขาด 2.โทรศัพท์ไปสอบถามกับหน่วยงานที่ถูกอ้างถึง เพราะหากมีการอายัดเงินหรือทรัพย์สินจริง หน่วยงานต้องแจ้งเป็นเอกสารลายลักษณ์อักษรเท่านั้น 3.แจ้งเบาะแส หากทราบบัญชีที่มิจฉาชีพจะให้โอนเงินไป ให้แจ้งไปที่หน่วยงานที่รับผิดชอบคดีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เช่น DSI หรือ ปปง.
“ส่วนใหญ่เมื่อโอนเงินไปแล้วจะมีการถอนเงินออกจากบัญชีปลายทางในทันที แต่ก็ดีกว่าปล่อยไปเฉยๆ เราก็ต้องติดต่อธนาคารปลายทางเพื่อให้ระงับบัญชี ซึ่งเขาจะไปตรวจสอบอีกทีหนึ่ง ต่อไปก็ต้องรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อที่จะไปแจ้งความ ไปลงบันทึกประจำวัน” ดร.สุพัตรา ฝากเตือน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี