ย้อนไปเมื่อต้นปี 2560 ทีมงาน “นสพ.แนวหน้า” เคยนำเสนอเรื่องราวของ “ลำสนธิ” อำเภอหนึ่งในจังหวัดลพบุรี ที่วันนี้กลายเป็น “ต้นแบบ” ในด้านสาธารณสุขชุมชน โดยการผลักดันของ นพ.สันติ ลาภเบญจกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลลำสนธิ ซึ่งเริ่มต้นจากการดูแลผู้สูงอายุในแต่ละชุมชนแบบ “เชิงรุก” ไม่ปล่อยให้ป่วย หรือหากป่วยก็ไม่รอให้อาการลุกลาม รีบป้องกันรักษาแต่เนิ่นๆ จนผู้สูงอายุที่นี่สุขภาพกายดี ลูกหลานก็พลอยสุขภาพจิตดีไม่เครียดไปด้วย (“ปาฏิหาริย์” ที่ “ลำสนธิ” “สุขสูงวัย” ไม่ทอดทิ้งกัน : แนวหน้าวาไรตี้ ฉบับวันที่ 20 ม.ค. 2560)
วันเวลาผ่านไป 1 ปีเศษ ความช่วยเหลือมากมายหลั่งไหลไปสู่ชุมชนตัวอย่างแห่งนี้ อาทิ เงินสนับสนุนจากผู้ใจบุญรวม 10 ล้านบาท ถูกแปรเปลี่ยนเป็นอาคารที่พักชั้นเดียวใน รพ.ลำสนธิ ชื่อว่า “คุณวิโรจน์ สุมาลี รัตนศิริวิไลและครอบครัว” ภายในพื้นที่โรงพยาบาลลำสนธิ ซึ่งใช้เปิดเป็น “ศูนย์ดูแลและฟื้นฟูผู้สูงอายุแบบครบวงจร” มีทีมงานดูแล ประกอบด้วย แพทย์ พยาบาล นักจิตวิทยา นักโภชนาการ นักกายภาพบำบัด นักบริบาล ซึ่งครอบคลุมทั้งเรื่องสุขภาพ อาหาร ตลอดจนการดำรงชีวิตประจำวันและฟื้นฟูเฉพาะราย
ภายในศูนย์ฯมีเตียงรองรับได้ 20 เตียง ห้องพิเศษ 2 เตียง สำหรับผู้ป่วยที่ใช้บริการจะแบ่งเป็นประเภทการดูแลใน 2 ระยะ คือ ระยะเปลี่ยนผ่าน (Intermediate care) เน้น 3 โรคสำคัญ คือ โรคหลอดเลือดสมอง การบาดเจ็บที่สมอง และการบาดเจ็บที่กระดูกสันหลัง เป็นกลุ่มที่พ้นระยะเฉียบพลันมาแล้ว โดยไม่ใช่การดูแลที่เน้นการรักษาแต่ยังมีความจำเป็นที่จะต้องได้ รับบริการฟื้นฟูสมรรถภาพ และพัฒนาทักษะเตรียมพร้อมญาติเพื่อการดูแลที่บ้าน
ต่อมาคือ การดูแลทดแทนชั่วคราว (Respite Care) หมายถึง เป็นสถานที่จัดการดูแลผู้ป่วยแบบชั่วคราวระยะสั้น เพื่อให้ผู้ดูแลได้พักจากการดูแลผู้ป่วย ซึ่งผู้ดูแลได้คลายเครียด ได้มีโอกาสไปประกอบภารกิจอื่นๆ หรืออาจในกรณีฉุกเฉินที่ผู้ดูแลไม่สามารถดูแลผู้ป่วยได้ โดยผู้ป่วยได้รับการดูแลจากสถานที่นี้จากบุคลากรที่มีคุณภาพและอยู่ในสถานที่ที่มีความปลอดภัยในการดูแล
เกศสุดา เกษรสุคนธ์ พยาบาลผู้ชำนาญการ กล่าวว่า กำลังคนในการดูแลสูงสุดรับได้จริงเพียง 8 ราย เพราะเป็นผู้ป่วยที่ช่วยเหลือตนเองได้น้อย แต่ผลตอบรับถือว่าดี จากผู้ป่วยที่สีหน้าแววตาอิดโรย พบว่าดูสดใสขึ้น ญาติเองก็ต้องการมารับบริการต่อเนื่องตลอด แต่ทางโรงพยาบาล ยังอยู่ในช่วงทดลองระบบ จึงไม่สามารถตอบสนองได้ทุกราย อนึ่ง..ด้วยความที่ยังเป็นช่วงทดลองให้บริการจึงยังไม่มีค่าใช้จ่าย ผู้ป่วยจะต้องนำ ผ้าอ้อมสำเร็จรูป กระดาษทิสชู ยาประจำตัว ผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ 1 ผืน ผืนเล็ก 2-3 ผืน พัดลม นมกล่องหรืออาหารเสริมทางการแพทย์ที่ให้ประจำมาด้วย
จากประสบการณ์ที่ “ภาคีลำสนธิ” ต้องเผชิญและต่อสู้กับ “ความไม่เข้าใจของหน่วยงานภายนอก” ที่เมื่อเข้ามาตรวจสอบมักยึดตาม “ระเบียบราชการ” มากกว่าเจตนารมณ์ที่ต้องการช่วยเหลือประชาชน อาทิ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ถูกบางหน่วยงานทักท้วงอยู่เสมอว่า “ใช้งบประมาณเกินและใช้นอกเหนือหน้าที่” จากการที่องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) แต่ละแห่ง ต้องจ้างนักบริบาล 3-4 คน ดูแลผู้สูงอายุที่ป่วยติดบ้านติดเตียงในพื้นที่ โดยต้องจ่ายค่าตอบแทนคนละ 6,000-7,000 บาท ต่อเดือน ตกปีละกว่า 300,000 บาท
แน่นอนในทางระเบียบราชการก็เป็นการใช้งบประมาณเกินกว่าที่ระเบียบอนุญาตให้ใช้จริงๆ “แต่เมื่อมันเป็นการบำบัดทุกข์ให้ประชาชน แล้วจะไม่ทำได้อย่างไร?” ภาคีลำสนธิจึงต้องมองหาแหล่งทุนทางอื่น ซึ่งก็โชคดีที่ นพ.สันติ ได้พบกับ วิเชียร พงศธร ประธานกรรมการมูลนิธิเพื่อคนไทย เข้ามาร่วมกันพัฒนา “กิจการเพื่อสังคม” (Social Enterprise) ซึ่ง นพ.สันติ เผยว่า กำลังคิดอยู่ว่าจะสร้างธุรกิจบางอย่างเพื่อนำกำไรมาสนับสนุนศูนย์นี้
หรืออาจใช้ศูนย์นี้เปิดให้ผู้ป่วยจากลำสนธิหรือคนภายนอกที่ไม่ได้อยู่ในเกณฑ์เข้ามาใช้บริการโดยเก็บค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่าที่อื่นแต่ได้คุณภาพ แต่นั่นเป็นเรื่องซึ่งต้องใช้เวลา ขณะที่ วิเชียร กล่าวชื่นชมการทำงานของภาคีลำสนธิว่า “ปัจจัยแรก” ที่ทำให้เกิดความสำเร็จนี้ก็คือ “ความมุ่งมั่น” ของทีมงานใน อ.ลำสนธิ เห็นความตั้งใจและทุ่มเท ส่วน “ปัจจัยที่สอง” เกิดจาก “ความร่วมมือ” ของทุกภาคส่วน ทั้งคนลำสนธิเองและองค์กรธุรกิจที่สนับสนุน
ไม่เพียงแต่ผู้สูงอายุเท่านั้น วันนี้ภาคีลำสนธิยังขยายความสนใจไปสู่ “การพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กปฐมวัย” โดยก่อสร้าง ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเทิดไท้องค์ราชัน ตั้งอยู่ที่ อบต.เขาน้อย สำหรับดูแลเด็กเล็กอายุ 2-4 ขวบ เนื่องจากที่ อ.ลำสนธิ ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ทำไร่อ้อยบ้าง เลี้ยงปศุสัตว์บ้าง จึงไม่มีเวลาดูแลบุตรหลาน ซึ่งศูนย์แห่งนี้มีความร่วมมือกับ โครงการลดความเหลื่อมล้ำด้วยการศึกษาปฐมวัยที่มีคุณภาพ (RIECE Thailand) นำหลักสูตร “ไฮ สโคป-High Scope” เข้ามาสอนเด็กปฐมวัย
หลักสูตรไฮ สโคป นั้นได้รับการรับรองผ่านงานวิจัยของ ศาสตราจารย์ เจมส์ เฮ็คแมน (Prof. James Heckman) นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล ประจำปี 2543 โดย ศ.เฮ็คแมน ทำการศึกษาชีวิตชาวอเมริกันกลุ่มหนึ่งในปี 2556 ที่ทั้งกลุ่มมีจุดร่วมเหมือนกันอย่างหนึ่งคือ เมื่อครั้งยังเป็นเด็กในปี 2505 ทุกคนผ่านการเรียนแบบ High Scope ณ โรงเรียนแห่งหนึ่งในเมือง Ypsilanti มลรัฐมิชิแกน
แล้วพบว่า เมื่อเด็กกลุ่มนี้โตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ อย่างน้อยที่สุดก็ “ไม่ก่อปัญหาให้สังคมเดือดร้อน” มีความสุขตามอัตภาพ และหลายคนประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานพอสมควร เข้านิยาม “ดี-มีความสุข-เก่ง” อันเป็นเป้าหมายสูงสุดของการจัดการศึกษา และบทสรุปจอง ศ.เฮ็คแมน ก็คือการลงทุนพัฒนาในเด็กอายุ 0-6 ปีนั้นคุ้มค่าที่สุด และไม่มีวัยไหนอีกแล้วที่จะคุ้มค่าเท่านี้
หลักสูตร High Scope เน้นกระบวนการเรียนการสอนผ่านพฤติกรรมการเล่น ที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการของเด็กปฐมวัยให้เกิดขึ้นจริง “ตอบโจทย์พัฒนาทักษะสมอง” หรือ Executive Functions (EF) ซึ่งเป็นกระบวนการทางความคิดในส่วน “สมองส่วนหน้า” ที่เกี่ยวข้องกับความคิด ความรู้สึก การกระทำ เป็นความสามารถของสมองที่ใช้บริหารจัดการชีวิตในเรื่องต่างๆ ในเด็กปฐมวัย และจะเป็นบุคลิกภาพที่ติดตัวคนคนนั้นไปชั่วชีวิต
สำหรับแผนการจัดประสบการณ์ ถูกแบ่งเป็นปีการศึกษาละ 20 หน่วย คิดเป็น 1 ปี เท่ากับ 40 หน่วย ในแต่ละหน่วยการเรียนรู้จะมีการวางรูปแบบเอาไว้อย่างดี เช่น หน่วยการเรียนรู้เรื่อง “กบ” เด็กๆ ที่นี่จะได้เรียนรู้ว่า กบมีลักษณะอย่างไร กินอะไร แหล่งอาศัยอยู่ที่ไหน โดย อุไรลักษณ์ ลาภเบญจกุล พยาบาลเทคนิคชำนาญงาน รพ.ลำสนธิ อธิบายว่า บทบาทของครูคือ “ต้องทำให้เด็กๆ เห็นทั้ง รูป รส กลิ่น เสียง เพื่อให้เด็กเข้าใจ เข้าถึง” อาทิ การสอนเกี่ยวกับสัตว์ทะเล ก็ให้เด็กๆ ได้ลองกินปลาหมึกจริงๆ เด็กๆ จึงมีความสุขในการมาเรียน
ถึงกระนั้น..ศูนย์เด็กเล็กแห่งนี้ก็ยังต้องพัฒนาต่อไป อุไรลักษณ์ ระบุว่า ตามปกติแล้วเด็ก 25 คน ต้องมีพี่เลี้ยง 1 คน แต่ด้วยข้อจำกัดด้านงบประมาณ ทำให้ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กแห่งนี้ที่มีเด็ก 78 คน มีครูพร้อมพี่เลี้ยงรวมกันเพียง 4 คน นอกจากนั้นยังมีข้อจำกัดในเรื่องค่าอาหารเช้า จึงจำเป็นต้องพึ่งพาภาคเอกชน และกล่าวด้วยว่าต้องการให้สังคมเข้าใจว่าเด็กช่วงวัยนี้อย่าเร่งอ่านเขียน คำว่าเตรียมความพร้อมสำคัญที่สุดและต้องการการสนับสนุนจากภาคเอกชนและคนในสังคม ในส่วนท้องถิ่นนั้นก็ควรหันมาทุ่มทรัพยากรในช่วงวัยนี้เพื่อสร้างคนคุณภาพ
จากเสียงสะท้อนกลับมาผู้ปกครองก็ยอมรับว่า เป็นการเรียนรู้ที่หลากหลาย ทำให้เด็กเกิดทักษะความคิดสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์ สังเกตได้จากบุตรหลานของตนสามารถจำแนกเปรียบเทียบได้ชัดเจนมาก เป็นผลสำเร็จอย่างน่าภูมิใจของภาคีลำสนธิไม่ต่างจากโครงการดูแลผู้สูงวัยที่เริ่มทำมาก่อนหน้า ทั้งนี้เมื่อผลงานมาจากชุมชนที่ร่วมลงมือ จึงถือว่าคือ “ความยั่งยืน” ที่แท้จริง
แม้หนทางจะยังอีกยาวไกล..และยังต้องการแรงสนับสนุนอีกมากก็ตาม!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี