การก่อความไม่สงบที่เริ่มมากว่า 14 ปีเศษ กับความล้มเหลวในการติดตามจับกุมผู้กระทำผิดตัวจริง ในการก่อเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ดินแดนปลายด้ามขวานเพื่อมาดำเนินคดีทางกฎหมาย นั้น คือหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่นำมาซึ่งการประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 หรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ กับ 4 อำเภอของ จ.สงขลา บางส่วน
จวบจนถึงทุกวันนี้ แม้เจ้าหน้าที่จะมีอำนาจในการสืบสวนหาตัวผู้กระทำผิด และนำตัวผู้ต้องหาเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายได้ส่วนหนึ่ง แต่ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าผลพวงหนึ่งที่เกิดขึ้นจาก "กฎหมายพิเศษ" ในพื้นที่นั่นคือ การต่อต้านเจ้าหน้าที่ ผู้ใช้กฎหมายควบคู่กันไปกับการใช้กฎหมาย ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกที่มีเสียงเรียกร้องให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ดังเซ็งแซ่มาจากพื้นที่ชายแดนใต้ และล่าสุดท่าทีตอบรับจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในพื้นที่ อ.เบตง จ.ยะลา ก็เริ่มขึ้น
โดยในวันนี้ (20 มี.ค.61) ซึ่งเป็นวันแรกที่ อ.เบตง จ.ยะลา ได้มีการประกาศยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่ง อ.เบตง เป็นอำเภอแรกของเมืองต้นแบบสามเหลี่ยมเศรษฐกิจมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะที่ผ่านมาสถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในพื้นที่ อ.เบตง มีน้อยมาก ประกอบกับกระแสการท่องเที่ยว อ.เบตง กำลังได้รับความนิยมจากกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย จึงนำมาสู่การยกเลิก พ.ร.ก.ดังกล่าว
สำหรับเช้านี้ที่ อ.เบตง บรรยากาศหลังมีการประกาศยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ประชาชนในพื้นที่ยังคงใช้ชีวิตตามปกติ เพราะความเคยชิน แต่ที่แปลกนั่นก็คือ การที่ไม่มีทหารคอยดูแลในย่านชุมชน และตามเส้นทางสาย 410 หรือเส้นทางเข้า - ออก เมืองเบตง ไปยังตัว จ.ยะลา ซึ่งการเดินทางต้องผ่านพื้นที่สีแดงที่มีเหตุการณ์ความรุนแรงยังคงอยู่ ซึ่ง อ.เบตงมีทางออกไปตัวจังหวัดเพียงทางเดียวคือเส้นทางดังกล่าว หรือไม่ต้องการผ่านเส้นทางดังกล่าวนี้ก็ต้องไปใช้เส้นทางผ่านแดนประเทศมาเลเซีย เพื่อความปลอดภัยในการเดินทางออกจาก อ.เบตง แต่อย่างไรก็ดี การก่อสร้างสนามบินเบตง ก็เป็นทางออกในอนาคตสำหรับทางเลือกการเดินทางออกจาก อ.เบตง แต่คงต้องรอการดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2563
ซึ่งการเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในพื้นที่ สิ่งสำคัญต้องทำความเข้าใจกับชาวบ้าน และเข้าถึงประเด็นและความสำคัญของการยกเลิก โดยอาจนำร่องจากการยกเลิกเป็นรายพื้นที่ไปก่อน เพื่อค่อยๆ ปรับความเข้าใจ โดยมีเจ้าหน้าที่รัฐเป็นพี่เลี้ยง ซึ่งการเลือกยกเลิกแบบเจาะพื้นที่เป็นรายๆ นั้น เช่น พื้นที่ใดที่สามารถปกครองและดูแลตนเองได้ไม่มีปัญหา ก็สามารถยกเลิกได้ เพื่อให้สถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติ ขณะที่พื้นที่อื่นหากต้องการยกเลิก พ.ร.ก.ด้วย ก็ต้องทำให้ตรงหรือครบเงื่อนไขที่รัฐกำหนดให้ได้
นางอรวรรณ แซ่จ้าว อายุ 58 ปี บอกว่า ยังไม่ต้องการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพราะมีความรู้สึกไม่ปลอดภัยในพื้นที่ โดยระหว่างมีเจ้าหน้าที่ยังมีความอุ่นใจและปลอดภัยมากกว่า
ส่วน นายวสันต์ พรรณวงศ์ อายุ 36 ปี บอกว่า ยังไม่ต้องการให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพราะมีความอุ่นใจมากกว่าเมื่อเห็นทหารเดินลาดตระเวน กับ อส.ผมมีความเชื่อมั่นทหารมากกว่า และไม่อยากให้มีการยกเลิก เกรงจะเกิดความรุนแรงขึ้นอีก เหมือนวันที่ 25 ก.ค.57 ที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุระเบิดคาร์บอมบ์ที่หน้าโรงแรมฮอลิเดย์ ฮิลล์ จนมีผู้บาดเจ็บ 34 ราย เสียชีวิต 2 ราย เพียงแค่มีกระแสข่าวว่าจะมีการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และมีการย้ายฐานของทหารพราน ฉก.33 ออกจากพื้นที่ อ.เบตง ไปตั้งฐานที่ อ.ธารโต เพียงไม่กี่วัน ก็เกิดระเบิดขึ้นดังกล่าว ซึ่งผมเกรงว่าการดูแลความปลอดภัยที่ใช้กำลัง ตชด. , อส.และกำลังภาคประชาชนในการดูแลพื้นที่แทนทหารนั้น ผมว่าทหารดูเป็นมืออาชีพกว่า อีกทั้งเป็นคนจากนอกพื้นที่ ไม่มีญาติพี่น้องในพื้นที่ แต่มาปฏิบัติหน้าที่ในการรักษาความปลอดภัย ซึ่งมีผลในทางปฏิบัติคือการตั้งด่านตรวจก็ไม่เกิดความเกรงใจเหมือนคนในพื้นที่ในการตรวจค้น ส่วนกลางจะรู้ดีกว่าคนในพื้นที่ได้อย่างไร ถามคนในพื้นที่มีแต่ไม่อยากให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
ส่วนผลกระทบจากการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่ผ่านมา ในส่วนของผู้ได้รับผลกระทบ ก็คือความเสี่ยงต่อการถูกละเมิดสิทธิระหว่างการถูกควบคุมตัวแล้ว เนื่องจากหน่วยงานอื่นไม่สามารถตรวจสอบระหว่างการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ได้ ขณะเดียวกันก็ไม่สามารถที่จะฟ้องศาลปกครอง เพื่อเอาผิดเจ้าหน้าที่ได้ เนื่องจาก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน กำหนดไว้ว่า ข้อกำหนด ประกาศ คำสั่ง หรือการกระทำตามพระราชกำหนดนี้ ไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง และกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง อีกทั้งผู้ที่ได้รับผลกระทบจาก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จะไม่ได้รับการช่วยเหลือเยียวยาจากรัฐด้วยเช่นกัน
นั่นคือภาพรวมของการบังคับใช้กฎหมายพิเศษในพื้นที่ ซึ่งเป็นข้อดีของประชาชนที่ไม่มีส่วนได้เสีย แต่ขอเพียงความปลอดภัยให้เกิดขึ้นในพื้นที่ ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะเป็นของขวัญให้คนชายแดนใต้ได้หรือไม่ แต่อย่างน้อยก็น่าจะเป็นสัญญาณเริ่มต้นที่ดีว่า พื้นที่ไม่สงบที่ถึงขั้นต้องใช้ยาแรงอย่างกฎหมายพิเศษเหล่านี้ ค่อยๆ ลดพื้นที่ลง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี