ทัวร์มรณะ‘บัส2ชั้น’!ทางออกบนจุดเปลี่ยนผ่าน‘ห้ามวิ่ง-ลดตาย’.?
จากเหตุ “รถบัส 2 ชั้น” ลงเขาแหก “โค้งวังน้ำเขียว” เสียหลักข้ามเกาะกลางถนนชนเพิงพักของชาวบ้านข้างทาง พลิกคว่ำ บริเวณทางหลวงหมายเลข “304” ตอนวังน้ำเขียว-ดอนขวาง บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 242
นับเป็นเหตุการณ์ “เศร้าสลด” ครั้งล่าสุดที่นำความ “สูญเสีย” มายังญาติพี่น้องของผู้วายชนม์ และนำมาซึ่งการพูดถึงการโดยสาร “รถบัส 2 ชั้น”...
นี่ไม่ใช่ “ครั้งแรก” เพราะก่อนหน้านี้ก็เคยเกิดเหตุการณ์ทัวร์สยอง “บัส 2 ชั้น” ให้เห็นอยู่เป็นระยะ และนี่ไม่ใช่ “ครั้งแรก” อีกเช่นกัน ที่เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้น ก็มีการพูดถึงการ “แบน...รถบัส 2 ชั้น” ซึ่งเป็นยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุค่อนข้างบ่อย และมีการสูญเสียในแต่ละครั้งเป็นจำนวนมาก
“นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์” ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน(ศวปถ.) เคยให้สัมภาษณ์กับ “แนวหน้า” ถึงเรื่องดังกล่าว โดยเขาเผยถึง “สถิติ” ที่ได้จากการรวบรวมข่าวตลอดทั้งปี 2558 พบว่า มีอุบัติเหตุจากรถสาธารณะ 104 ครั้ง โดย 1 ใน 3 เกิดกับรสบัส 2 ชั้น มีผู้เสียชีวิตรวม 34 ศพ หรือตกเดือนละ 3 ศพ
เขาอธิบายต่อว่า “รถบัส 2 ชั้น” วันนี้ แบ่งได้ 2 กลุ่ม คือ 1.รถใหม่ หรือรถบัส 2 ชั้นที่จดทะเบียน ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2556 เป็นต้นมา รถกลุ่มนี้จะถูกควบคุม ด้วยหลักเกณฑ์ต่างๆอย่างเข้มงวด เช่น ระบบเบรกต้องเป็นแบบเบรก “หน่วงเกียร์ไฟฟ้า” ระบบทรงตัวต้องมีความเสถียรได้มาตรฐาน และผ่านการทดสอบพื้นลาดเอียง 30 องศา จึงค่อนข้าง "ปลอดภัย" พอสมควร จำนวนรถกลุ่มนี้มีอยู่เพียง “ร้อยละ 20-30” ของรถบัส 2 ชั้นทั้งหมดในประเทศ
2.รถเก่า หรือรถบัส 2 ชั้น ที่ใช้งานมาก่อนวันที่ 1 ม.ค.2556 ซึ่งก่อนหน้าวันดังกล่าวยังไม่มีกฎระเบียบควบคุม รถกลุ่มนี้ค่อนข้าง “เสี่ยง” เพราะหลายคันสูงเกินกว่า 3.60 เมตร และบางคันสูงถึง 4.50 เมตร ซึ่งมีโอกาส “พลิกคว่ำ” ได้เวลาเลี้ยว หรือวิ่งในทางลาดชัน แม้จะไม่ได้ใช้ความเร็วสูงก็ตาม
“ที่น่าเป็นห่วง คือ รถรุ่นเก่าที่ไม่ได้มีการทดสอบพื้นเอียง ทางกรมการขนส่งทางบกใช้วิธีการติดตั้ง GPS แทน ซึ่งการติดตั้ง GPS ก็มีประโยชน์ถ้ามีระบบควบคุมที่ดี เป็นการควบคุมความเร็ว แต่รถที่มีความสูง ความเสี่ยง ไม่ใช่แค่ความเร็วอย่างเดียว แม้จะขับไม่เร็ว แต่ต้องเลี้ยวกะทันหัน แรงเหวี่ยงก็ทำให้รถเกิดการพลิกคว่ำได้ เพราะฉะนั้นความสูงมันจะมีความสัมพันธ์กันกับเสถียรภาพการทรงตัวของรถ” ผู้จัดการ ศวปถ. กล่าว
สอดคล้องกับ “นายณัฐพงศ์ บุญตอบ” ผู้เชี่ยวชาญการสืบสวนอุบัติเหตุเชิงลึก ศูนย์วิจัยอุบัติเหตุแห่งประเทศไทย กล่าวว่า รถบัส 2 ชั้น มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย ด้วยปัจจัยหลายประการ อาทิ 1.ความสูงของรถรถบัสโดยสาร 2 ชั้นมีความสูงเฉลี่ย 4.20 เมตร ฐานล้อกว้างแค่ 2.40 เมตร หากนำมาคำนวณเสถียรภาพการทรงตัวของรถ โอกาสในการพลิกคว่ำค่อนข้างสูงมาก
2.เส้นทางเดินรถ รถบัส 2 ชั้นที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยๆ ส่วนใหญ่จะเป็นเส้นทางขึ้น-ลงเขา
3.สภาพตัวรถ ไม่ว่าจะเป็นรถบัสโดยสารประจำทางบางเส้นทาง หรือรถทัศนาจร (รถทัวร์เหมาเที่ยว) อายุการใช้งานค่อนข้างเก่าและมีปัญหาในเรื่องของอุปกรณ์ ระบบเบรก ที่บางครั้งอยู่ในสภาพ ทรุดโทรม ไม่พร้อมที่จะใช้งาน
4.ผู้ขับขี่ไม่ชำนาญเส้นทาง สำหรับเส้นทางขึ้น-ลงเขา ผู้ที่คุ้นเคยเส้นทางจะรู้จังหวะดีว่าต้องใช้เกียร์อะไรในการลงเนินแทนที่จะเบรกยาวต่อเนื่อง เพราะการใช้เบรกยาวต่อเนื่องกับรถระบบรวม สุดท้ายจะกลายเป็นปัญหา เพราะระบบการเบรกและการเปลี่ยนเกียร์ของรถขนาดใหญ่มีความสัมพันธ์กัน
ที่น่าห่วงที่สุดคือ “รถทัวร์เหมาเที่ยว”
เพราะ “ไปทุกที่-ทุกภาค” ไม่จำกัดเส้นทาง!!!
“คนทางใต้เหมารถทางใต้ ที่ส่วนใหญ่เป็นรถทัศนาจรไปเที่ยวภาคเหนือ หากลองจินตนาการดู พวกคนที่อยู่ทางใต้แล้วต้องขับรถขึ้นเขาไปทางเหนือ เขาจะสามารถควบคุมรถได้ดีสักแค่ไหน? อย่างเราอยู่ภาคกลาง แล้วขับรถขึ้นเขาไปเชียงใหม่ เราก็ไม่คุ้นเคยเส้นทาง เรียกว่าทักษะในการขับขี่มันจะไม่คุ้นเคยกับเส้นทาง เพราะว่าคนที่ขับในเส้นทางที่เป็นทางเขาลงเนินต่อเนื่องนานๆ คนที่ไม่คุ้นเคยก็ไม่ชำนาญไม่สามารถควบคุมรถได้เท่ากับคนที่คุ้นเคยดี” ผู้เชี่ยวชาญด้านอุบัติเหตุทางถนน ระบุ
ขณะที่ “ศูนย์วิจัยอุบัติเหตุแห่งประเทศไทย” พบว่า จากการสำรวจการเกิดอุบัติเหตุในรถสาธารณะต่อ 10,000 คันในประเทศไทย พบว่า “รถตู้” มีความเสี่ยงมากกว่า “รถบัสชั้นเดียว” 2 เท่า แต่ “รถบัส 2 ชั้น” เสี่ยงมากกว่ารถบัสชั้นเดียวถึง...
6 เท่า!!!
แม้ในทางวิชาการ “รถบัส 2 ชั้น” จะมีอันตราย เสี่ยงต่ออุบัติเหตุอย่างมาก แต่ในทางปฏิบัติการจะยกเลิก “ห้ามใช้” ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะผู้ประกอบการแต่ละเจ้าก็มีรถบัส 2 ชั้นอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย และราคารถแต่ละคันก็ค่อนข้างสูง
ดังที่ผู้กว้างขวางในวงการรถทัวร์อย่าง “เจ๊เกียว” นางสุจินดา เชิดชัย เจ้าของบริษัทเดินรถเชิดชัยทัวร์ ที่เคยกล่าวกับ “แนวหน้า” ว่า ที่ผ่านมารถที่นำมาวิ่งรับ-ส่งผู้โดยสาร ล้วนแต่ต้องเข้ารับการตรวจสภาพเพื่อจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกเสียก่อน จึงจะนำมาออกมาใช้ได้ และมองว่ารถที่มีปัญหาคือ “รถประกอบเอง” มากกว่ารถที่ทำออกมาจากโรงงาน
“รถ 2 ชั้น มันจะมี 2 อย่าง คือ เป็นรถที่สั่งมาจากนอกแท้เลย แต่จะมีราคาแพง กับบางคนที่หัวดี ก็เอารถ 6 ล้อ มาดัดแปลงเป็น 8 ล้อ ซึ่งตรงนี้จะมีปัญหา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นรถที่อยู่ในประเทศจะต้องขอความเห็นชอบจากกรมการขนส่งทางบก เป็นผู้อนุมัติ กรมการขนส่งทางบกมีการรับรองมาแล้วว่ารถคันนี้ แข็งแรงดีและปลอดภัยดี มีการขอความเห็นชอบมาถึงจะจดทะเบียนได้ และเอาไปใช้เป็นรถสาธารณะ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ให้ต่อทะเบียน เพราะรถมันมีตั้งหลายคัน ซึ่งในประเทศไทย ก็ไม่ได้มีการสำรวจอย่างชัดเจนว่ามีจำนวนเท่าไร” เจ๊เกียว ระบุ
พร้อมย้ำว่า หากรัฐบาลต้องการจะยกเลิกรถบัส 2 ชั้นในประเทศไทยจริง ก็ควรมี “ช่วงเวลาเปลี่ยนผ่าน” เช่น ประกาศว่ารถที่ใช้อยู่แล้วให้ใช้ได้ถึงปีใด และหลังจากนั้นก็ห้ามนำเข้ารถใหม่มาใช้อีก เพื่อให้ผู้ประกอบการได้มีเวลาปรับตัว เพราะที่ผ่านมาผู้ประกอบการลงทุนไปมาก รถบัสแต่ละคันราคาอยู่ที่หลักล้านบาท
เช่นเดียวกับ นพ.ธนะพงศ์ ที่กล่าวว่า ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องมาคุยกัน ว่าในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้จะทำกันอย่างไร?
“ต้องมีระยะเวลาในการเปลี่ยนผ่าน เพราะต้นทุนพวกนี้ ผู้ประกอบการก็ต้องแบกรับ เราไม่สามารถไปยกเลิกได้ทันที โดยสรุปแล้วต้องมาหารือกันในการกำหนดใช้นโยบายข้อนี้ เช่น อาจจะพูดถึงในอีก 5 ปีข้างหน้าที่ต้องไม่จดทะเบียนเลย ทยอยเอารถเก่าออกจากระบบให้หมด และในช่วงนี้ก็ให้มีการปรับรถที่มีอยู่ ค่อยๆ ทยอยเปลี่ยนมาเป็นการวิ่งในเขตเมืองและเปลี่ยนเป็นรถประเภทอื่นไป” นพ.ธนะพงศ์ กล่าว
พร้อมกับฝากทิ้งท้าย “ความประมาทเป็นหนทางแห่งความตาย”
พุทธศาสนสุภาษิตบทนี้ยังคงเป็นเครื่อง “เตือนใจ” ได้ดีเสมอกับ ทกยุคสมัย โดยเฉพาะกับอุบัติเหตุบนท้องถนน หากลดความเสี่ยง ไม่มีความประมาท ก็จะลดการสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินได้มาก
ทว่า...อีกมุมหนึ่งการผลักดันนโยบายใหม่ๆที่ไม่เคยทำมาก่อน แม้จะมีผลดี แต่จะมีผู้คนไม่น้อยได้รับผลกระทบ ซึ่งไม่ใช่ความผิดของพวกเขา เพราะก่อนหน้านั้นยังไม่มีกฎหมาย-กฎระเบียบใดๆ มาบังคับใช้ เป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องมาหารือกันว่า...
จะหา “ทางออก” ในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้อย่างไร?
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี