"การทุจริตเงินอุดหนุนเงินสงเคราะห์ครอบครัวผู้มีรายได้น้อยและผู้ไร้ที่พึ่ง" ได้บานปลายขยายวงกว้างไปหลายจังหวัดจนเกือบจะทั่วประเทศแล้ว โดยพฤติการณ์การทุจริตที่พบคือมีการปลอมแปลงเอกสารเบิกจ่ายเงินฯ ผู้มีรายชื่อไม่ได้รับเงินเลย บางรายได้รับเงินแต่ไม่ครบตามจำนวนที่มีการเบิกจ่ายจริง ขณะที่ผู้ได้รับเงินกลับเป็นผู้ไม่อยู่ในเงื่อนไขการรับเงินสงเคราะห์ เป็นต้น
หลังจากเจ้าหน้าที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เข้าไปดำเนินการตรวจสอบปรากฎว่า "การทุจริตเงินสงเคราะห์ผู้ยากไร้ฯ" ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นในปี 2560-61 นี้เท่านั้นแต่มันมีมานานแล้ว โดยมีการทุจริตกันเป็นขบวนการ
พ.ต.ท.วันนพ สมจินตนากุล ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับทีมข่าวแนวหน้าออนไลน์ถึงการดำเนินการตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณประเภทเงินอุดหนุนเงินสงเคราะห์ครอบครัวผู้มีรายได้น้อยและผู้ไร้ที่พึ่ง ตั้งแต่วันที่ 13 ก.พ.จนถึง 18 มี.ค.61 ที่ผ่านมา
พ.ต.ท.วันนพ ได้เท้าความที่มาที่ไปก่อนที่จะพบมีการทุจริตเงินอุดหนุนเงินสงเคราะห์ครอบครัวผู้มีรายได้น้อยและผู้ไร้ที่พึ่งว่า "เดิมมีการช่วยเหลือคนจนมาตั้งแต่สมัยมีกรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงมหาดไทย ต่อมามีการปรับเปลี่ยนจากกรมประชาสงเคราะห์มาตั้งเป็นกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ซึ่งมีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) อยู่ใต้สังกัด พม.และงบที่จัดสรรให้ช่วยบเหลือคนจนก็ถูกเปลี่ยนมาอยู่ที่ พส.แทน"
จุดเริ่มต้นพบทุจริตมาจาก นศ.ร้อง ทบ.
จากนั้น พ.ต.ท.วันนพ ได้เปิดเผยถึงความเป็นมาเรื่องการทุจริตเงินอุดหนุนเงินสงเคราะห์ครอบครัวผู้มีรายได้น้อยและผู้ไร้ที่พึ่งว่า เรื่องนี้แรกเริ่มจากน้องนักศึกษา ได้มาร้องเรียนต่อ คสช.ที่จังหวัดขอนแก่น หลังจากร้องเรียนแล้วอาจจะมีปัญหาเกิดความล่าช้าด้วยสาเหตุส่วนตัวอะไรไม่ทราบ จึงทำให้น้องนักศึกษาตัดสินใจนำเรื่องมาร้องเรียนกองทัพบก (ทบ.) ซึ่งทุกเรื่องที่กองทัพบกรับเรื่องร้องเรียนก็จะมาประชุมร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) โดยหากเรื่องที่เกี่ยวข้องเจ้าหน้าที่รัฐก็จะส่งให้ ป.ป.ท.ทำ แต่ถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับหน่วยงานอื่นกองทัพบก ก็จะไปดำเนินการต่อ ซึ่งเรื่องของน้องนักศึกษา ก็ถูกคัดเข้ามาสู่สารบบของ ป.ป.ท.
สำหรับเรื่องนี้เป็นกรณีที่น่าสนใจมาก เพราะน้องนักศึกษาได้บรรยายมาในหนังสือร้องเรียนที่มีความชัดเจนมากว่าให้กรอกรายละเอียดเอกสารอย่างไร รวมทั้งให้ปั๊มนิ้ว ฯลฯ และเอาบัตรประชาชนมาเขียนเอง ประกอบกับผมเองก็ทำหน้าที่รักษาการตำแหน่งผู้อำนวยการ ป.ป.ท.เขต 4 อยู่ด้วย จึงสั่งการให้เจ้าหน้าที่ลงไปตรวจสอบที่จังหวัดขอนแก่นเป็นจังหวัดแรกก่อนจะปรากฏเป็นประเด็นข่าวใหญ่ตามสื่อ ซึ่งได้ข้อมูลชัดเจนพบว่าการสั่งเบิกจ่ายงบประมาณผิดปกติมากมายจากข้อเท็จจริงที่ควรดำเนินการตามหลักเกณฑ์ที่ควรจะเป็น
จากนั้นได้เสนอคณะกรรมการ ป.ป.ท.ตั้งอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริง จึงมีการตั้งข้อสังเกตของบอร์ดว่า "ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง" มีอยู่ทุกจังหวัดในประเทศไทยและเกิดเป็นคำถามว่าศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งในจังหวัดอื่นมีปัญหาทุจริตงบเช่นเดียวกันหรือเปล่า จากนั้นจึงมีการลงมติว่าให้ตรวจสอบทั้ง 76 จังหวัด แต่ในส่วนศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง กทม.นั้นการเบิกจ่ายอยู่ที่ส่วนกลาง จึงไม่รวมด้วย
เผยเริ่มตรวจสอบก็พบทุจริตหมดทุกที่
ขณะที่กำลังเจ้าหน้าที่นักสืบของ ป.ป.ท.จริงมีอยู่แค่ 300 กว่าคนจากนั้นจึงแบ่งเป็นชุดปฏิบัติการ 15 ชุด บวกกับเจ้าหน้าที่ส่วนกลางมาร่วมกันจัดทีมลงพื้นที่ตรวจสอบ ซึ่งจากการพิจารณาข้อมูลบางพื้นที่คนไม่เยอะ แต่ทำไมได้งบประมาณจำนวนมาก จึงตั้งเป้าหมายเลือกศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง ในจังหวัดที่งบประมาณปี 2560 ได้รับตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไปเป็นกลุ่มอันดับแรกที่ต้องตรวจสอบมี 31 จังหวัด และรวมกับที่ได้รับข้อมูลเบาะแสจากข้าราชการที่เกษียณไปแล้ว รวมทั้งชาวบ้านด้วยอีก 6 จังหวัด รวมทั้งสิ้น 37 จังหวัด
"ป.ป.ท.ได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาตั้งแต่วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2561 จากการที่ ป.ป.ท.ไปตรวจสัปดาห์แรกใน 3-4 จังหวัดก็เจอทุจริตหมดเลย เราก็คิดว่าเรื่องนี้มันไม่ธรรมดาแล้ว ต่อมามีข่าวเรื่อง "น้องแบม" น.ส.ปณิดา ยศปัญญา เกิดขึ้นทาง ป.ป.ท.จึงต้องเปิดเผยข้อมูลที่ได้ไปตรวจสอบและตั้งอนุกรรมการไต่สวนฯ ตามที่เป็นข่าวไปก่อนหน้านี้แล้ว"
หนักสุดพบคนจนบางคนไม่ได้รับเงินเลย
ถามว่าหลักฐานชัดเจนขนาดไหนที่ ป.ป.ท.ไปตรวจสอบพบทั้ง 49 จังหวัดนั้น พ.ต.ท.วันนพ กล่าวว่า ตอนนี้ยังตอบไม่ได้ แต่ตอบได้ว่าสิ่งที่เราตรวจสอบพบคือมีพฤติกรรมแบบนี้ จากการที่เอาฎีกาจากการทำเบิกที่มีลายมือเจ้าหน้าที่ทำเรื่องเบิกให้ใครบ้าง ชื่ออะไร แล้วมีใบรับเงิน มีเจ้าตัวตามปรากฏชื่อว่าเซ็นต์รับเงินไปจำนวนเท่านี้ และเอาเอกสารไปสอบยันกับคนที่มีชื่อ แต่คนที่มีชื่อบอกว่าไม่เคยรู้เรื่องเลย ไม่เคยได้เงิน ลายเซ็นต์ไม่ใช่ลายมือของเขา หรือบางคนบอกว่ามีผู้นำท้องถิ่นนำใบแบบฟอร์มกระดาษเปล่ามาให้เซ็นต์ และดูเอกสารแล้วเจ้าตัวก็บอกว่าตอนที่เซ็นต์ชื่อไม่มีรายละเอียดอย่างที่เจ้าหน้าที่ ป.ป.ท.เอามาให้ดูตอนนี้
"หนักสุดบางคนบอกว่าไม่ได้รับเงินเลย แต่ก็มีบางรายที่บอกว่าได้รับเงินเหมือนกันแต่ 1,000 บาทโดยผู้นำท้องถิ่นอาจจะสำรวจรายชื่อเบื้องต้นและนำไปให้ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง ซึ่งหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ศูนย์ต้องลงพื้นที่มาตรวจสอบเคสในแต่ละราย"
พ.ต.ท.วันนพ กล่าวต่อว่า "ส่วนการตรวจสอบการเบิกจ่ายงบศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งนั้นทางเราจะดูในส่วนงบประมาณปี 2560 ก่อน แต่หากมีพยานบอกว่าเคยขอปี 2558 และปี 2559 รวมทั้งปี 2560 ไม่ได้รับเงิน เราอาจจะต้องตรวจสอบเช็คย้อนหลังเฉพาะรายไป แต่คงจะไม่ตรวจสอบทั้งระบบเหมือนงบปี 2560 ซึ่งคงต้องใช้เวลาพอสมควร"
สตง.เคยทำหนังสือพบการโอนงบผิดปกติ
พ.ต.ท.วันนพ กล่าวอีกว่า สำหรับงบประมาณนั้น โดยปกติทางกระทรวงจะต้องขอจากรัฐบาล ซึ่งเป็นเป็นเงินจัดไว้สงเคราะห์คนยากไร้ คนมีรายได้น้อย คนป่วยโรคเอดส์ติดเชื้อ โดยจัดสรรให้ พม.และ พม.ก็จัดสรรให้กรม พส.ต่อ ซึ่งเงินจะถูกโฮล์ด (hold)อยู่ที่ พส. ต่อจากนั้นจะแบ่งงบให้กับกองคุ้มครองสวัสดิภาพและเสริมสร้างคุณภาพชีวิต หลังจากนั้นกองคุ้มครองสวัสดิภาพฯ ได้แบ่งงบประมาณจำนวน 123 ล้านบาท ไปให้กับศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งที่อยู่ภายใต้กำกับดูแลทั้ง 76 จังหวัด
ขณะที่งบประมาณอีกส่วนจำนวน 370 ล้านบาทถูกแบ่งไปที่กองพัฒนาสังคมกลุ่มเป้าหมายพิเศษซึ่งดูแลนิคมสร้างตนเอง 43 แห่ง และศูนย์พัฒนาราษฎรบนที่สูงหรือที่เดิมรู้จักกันว่า "ศูนย์ชาวเขา" มี 16 แห่ง โดยนิคมฯ รับงบไป 194 ล้านบาท ส่วนศูนย์ชาวเขาได้รับงบ 176 ล้านบาท
จากการสอบถาม พส.ถึงหลักเกณฑ์การจัดสรรงบศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งได้รับคำตอบตามเชิงวิชาการว่าคิดตามหลักเกณฑ์พื้นที่ แต่ในข้อเท็จจริงไม่ใช่ และต่อมาได้ทราบว่าสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เคยทำหนังสือว่าการโอนงบไปผิดปกติ ซึ่งต้องยกเครดิตให้ สตง.และคนที่โยกงบลงไปที่ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งในจังหวัดต่างๆ คือผู้บริหารของ พส. จึงเป็นที่มาของการตั้งคณะกรรมการสอบปลายๆ ปี 2560 ที่มีประธานคณะกรรมการโดยปลัด พม.คนเก่าตั้ง ก่อนท่านจะเกษียณเล็กน้อย
พ.ต.ท.วันนพ กล่าวต่อว่า สตง.ตั้งข้อสังเกตว่างบต่างๆ ทั้งคนจน นิคม ฯลฯ ทำไมงบลงไปแบบไม่สม่ำเสมอ ซึ่ง สตง.ตรวจลงละเอียดว่าหากเอาหลักเกณฑ์อาณาเขตประชากร เส้นความยากจน ทำไมบางจังหวัดในปี 2558 ให้งบ 3 แสนบาท แต่ปี 2559 กลับให้ 3 ล้านบาท หรือบางจังหวัดในปี 2560 ให้งบ 10 ล้านบาท ซึ่งหลักเกณฑ์จะไม่สัมพันธ์กับจำนวนเงินแล้ว"
"สรุปว่าการจัดสรรงบประมาณในปี 2558, 2559 และ 2560 คือผู้บริหารสูงสุดของ พส.ที่เป็นคนจัดงบลงไปให้จึงเกิดเป็นข้อสังเกตว่าทำไมจังหวัดนี้ได้งบเยอะ จังหวัดนี้ได้งบน้อย ซึ่งทาง สตง.มีหนังสือไปถึง พม.ประมาณเดือนกรกฎาคม 2560 ถึงความผิดปกติในการโอนงบดังกล่าวไปให้กับหน่วยที่จะใช้ และอาจจะไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ด้วย"
พบชัดเจนคนจนถูกปลอมชื่อ-ไม่ได้เงิน
ส่วนที่มีกระแสข่าวพูดกันว่าการทุจริตที่เกิดขึ้นคล้ายกับผู้บริหารระดับสูงสั่งการให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทำตัวเลขงบประมาณแล้วชงขึ้นมาด้วยการตบแต่งบัญชีจริงหรือไม่ ? พ.ต.ท.วันนพ บอกว่า กรณีนี้หากมีพยานบุคคลก็จะชัดเจน แต่จากการที่เราตรวจพบความผิดปกติ คือ ความสัมพันธ์หลักเกณฑ์ต่างๆ ไม่ได้ถูกนำมาใช้อย่างที่ สตง.ตั้งข้อสังเกตไปว่าคุณจัดสรรให้โดยผู้บริหารอาจไม่ได้พิจารณาจากความจำเป็นใช้งบจริง แต่คงไม่ถึงขนาดว่า "ตามอำเภอใจ" เหมือนว่าอยากให้ใครก็ให้คนนั้นเยอะ อันนั้นเราคงไม่ดูรายละเอียดว่าใครสนิทกับใคร เพราะระดับอธิบดีต้องรู้จักข้าราชการทุกคน แต่ใครจะเป็นลูกรัก ไม่รัก รักมาก รักน้อย
แต่จากข้อมูลคือได้รับงบแบบไม่เท่ากันจนผิดปกติมาก อย่างเช่นบางจังหวัดในภาคอิสานเป็นจังหวัดเล็กๆ หรือบางจังหวัดในภาคกลางเป็นจังหวัดใหญ่แต่กลับได้รับงบน้อย
จากการลงพื้นที่ช่วงต้นๆ เดือนกุมภาพันธ์จะพบว่า จังหวัดขอนแก่น เชียงใหม่ หนองคาย บึงกาฬ และสุราษฎร์ธานี ซึ่งเจ้าหน้าที่ ป.ป.ท.ลงไปชาวบ้านก็บอกเราเลยว่าไม่ได้รับเงิน ถูกปลอมชื่อไปใช้ด้วย ที่ชัดเจนมากคือผู้ใหญ่บ้านที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี จำได้ว่าเขาให้สำเนาบัตรประชาชน ตอนที่ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจัดอบรมให้ความรู้การเดินสายไฟฟ้าในอาคาร และตอนอบรมเสร็จทางศูนย์ฯ ได้ขอสำเนาบัตรโดยบอกว่าเพื่อที่นำไปใช้ในการเบิกจ่ายค่าอบรม ซึ่งเข้าใจได้ว่าเป็นหลักฐานที่ศูนย์คงเอาไปยืนยันว่ามีคนมาอบรมจริงจำนวนเท่าไร แต่พอเจ้าหน้าที่ ป.ป.ท.เอาเอกสารให้เขาดูว่าเบิกเงิน 3,000 บาท ก็ตกใจว่าเขาเป็นผู้ใหญ่บ้านแต่ถูกเอาชื่อไปใช้เบิกเงินเป็นผู้ยากไร้
สุดสะเทือนใจโกงแม้กระทั่งคนจนที่พิการ
พ.ต.ท.วันนพ บอกกับทีมข่าวแนวหน้าออนไลน์ด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงความสะเทือนใจอย่างชัดเจนด้วยว่า "มีเหตุการณ์น่าสะเทือนใจมากๆ คือ คนแก่อายุมากๆ ที่ยากจนจริงๆ ตามหลักเกณฑ์และยังพิการด้วย ซึ่งมีทั้งเป็นคนจนที่พิการทั้งมือและเท้า คนพิการนั่งรถเข็น เคยทำเรื่องเบิกแล้วไม่ได้เงิน ซึ่งเขาถูกอ้างชื่อและปลอมลายมือชื่อด้วย เขาก็ไม่มีแรงกำลังที่จะไปติดตามทวงเงินว่าเขาเคยยื่นเรื่องไว้นั้นได้เงิน หรือไม่ได้เงิน ซึ่งมีอย่างนี้ทั้งในภาคเหนือ ภาคอิสาน ภาคใต้ ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดเอาไว้จะจ่ายให้คนละ 3,000 บาทต่อครั้งและไม่เกิน 3 ครั้งต่อปี"
"แต่ที่ ป.ป.ท.ตรวจสอบพบคือโกงเงินเขายังไม่พอ แถมยังไปเบิกชื่อเขา 4 ครั้งต่อปีคือเบิกเกินกว่ากำหนดที่จะต้องช่วยเขาปีละ 3 ครั้งก็มี โดยที่ชาวบ้านคนนั้นไม่ได้รับเงินเลยสักบาท หรือในภาคเหนือคนแก่ๆ อายุตั้งแต่ 70 ปี โดนกันทั้งหมู่บ้านก็มี เอาเอกสารให้เขาดูบอกยายเซ็นชื่อไม่เป็นนอกจากปั๊มมือ ซึ่งจากการที่เราทำแผนประทุษกรรมทุจริตงบฯสอดคล้องกับข้อมูลที่ "น้องแบม" นักศึกษาที่เล่าว่าเอาสำเนาบัตรประชาชนมานั่งกรอกข้อมูล และบางส่วนก็ให้ชาวบ้านปั๊มนิ้ว โดยมีคนสั่งว่าในรายที่อายุ 70 กว่าเอกสารไม่ต้องเซ็นชื่อให้ปั๊มนิ้วมือแทน น้องเค้าก็เลยปั๊มนิ้วตัวเองทุกนิ้วแทนทั้ง 10 นิ้ว"
พบ 4 ขั้นตอนคัดสรรคนจนไม่ตรงจริง
พ.ต.ท.วันนพ กล่าวว่า จากการตรวจสบช่วงแรกเราสงสัยว่าทำไมโกงกันได้ง่าย แต่พอเรามาย้อนดูพฤติการณ์พบว่าอธิบดีฯมอบอำนาจให้ ผอ.ศูนย์ฯ เป็นผู้อนุมัติจ่ายเงินได้เองจากคำสั่งปี 2558 ถ้าเราดูรูปแบบการเบิกจ่ายเงินมี 4 ขั้นตอนที่ส่อไปโปร่งใสเกิดขึ้นคือ
ขั้นตอนที่ 1 ศูนย์ฯไม่ได้ไปหารายชื่อคนยากจนมาด้วยตัวเอง โดยใช้วิธีให้ผู้นำท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และสมาชิก อบต.ช่วยหามาให้แทนซึ่งไม่ได้มีการให้นิยามว่าคนยากจนไว้ แต่สรุปคือช่วยตัวเองไม่ได้ ครอบครัวมีความยากลำบาก ไม่มีอันจะกิน ซึ่งถ้าเป็นคนที่มีเงินเดือนก็ไม่ตรงเงื่อนไขรับเงินนี้ หรืออีกวิธีการมีคนมายื่นเรื่องที่ศูนย์ฯเองว่าตัวเองเป็นคนยากจน ลำบาก หรือเป็นผู้ป่วยที่ติดเชื้อ HIV ดังนั้น จึงเป็นไปได้ที่ว่าจะมีชื่อเมียกำนัน สมาชิก อบต. ข้าราชการบำนาญ ลูกจ้างในส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ ซึ่งไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ได้รับเงิน นอกจากนี้ ยังมีรายชื่อคนรวยที่สุดในหมู่บ้านถูกปลอมชื่อเข้ามาด้วย
ขั้นตอนที่ 2 ต้องให้นักพัฒนาสังคมหรือนักสังคมสงเคราะห์ ไปตรวจเยี่ยมบ้านทุกเคสที่มีการร้องขอเข้ามา ถ้าเจ้าหน้าที่ลงไปดูในพื้นที่ดูบ้านที่อยู่ก็ต้องรู้แล้วว่าฐานะเป็นอย่างไร เพราะบ้านสมาชิก อบต.คงไม่มีสภาพยากจน ซึ่งในขั้นตอนนี้ถ้าลงสำรวจในพื้นที่แล้ว จะต้องพบว่าจนจริงหรือไม่ ซึ่งตรงนี้น้องนักศึกษา บอกว่าเจ้าหน้าที่ศูนย์ให้เขียนสภาพบ้านได้ 2 แบบเท่านั้น คือ บ้านหลังคามุงจาก กับบ้านหลังคามุงสังกะสี เพื่อให้รู้สึกว่าจนจริงต้องช่วย 3 ครั้งต่อปี
ขั้นตอนที่ 3 เป็นการวินิจฉัยโดยผู้ทำหน้าที่นี้ ส่วนใหญ่จะเป็นระดับรองจาก ผอ.ศูนย์ฯว่า คนนี้ปีนี้จะให้เงินช่วยเหลือเท่าไร และกี่ครั้ง
หากขั้นตอน 1 และ 2 ถูกต้อง และขั้นตอนที่ 3 วินิจฉัยเที่ยงตรงก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าไม่ใช่ก็เป็นปัญหา
ขั้นตอนที่ 4 เป็นการอนุมัติเซ็นต์และเบิกจ่ายเงิน ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า ผอ.ศูนย์ฯ จะทำหน้าที่เป็นคนอนุมัติจ่ายเงิน ทำการแทนอธิบดี พส.ตามที่ได้รับมอบอำนาจมา โดยเมื่อทำหลักฐานยื่นเบิกงบเสร็จ จากนั้นก็เบิกเป็นเงินสดออกมาแล้ว ผอ.ศูนย์ฯ ไปจ่ายเงินเองบ้าง แต่เท่าที่สอบจะมีเจ้าหน้าที่ที่ไว้ใจได้เป็นคนไปจ่ายเงินให้ ซึ่งถ้าทำถูกต้องเอาเงินไปจ่ายจริงก็ไม่มีปัญหา
แจ้งข้อกล่าวหาทุกคนไม่เว้น ผอ.ศูนย์
อย่างไรก็ตาม เป็นวิธีการที่ไม่เหมาะสมแม้ว่าไม่มีการทุจริตเพราะทุกขั้นตอนดำเนินการเบ็ดเสร็จภายในศูนย์ฯ โดยที่ไม่คนนอกเข้าร่วมตรวจสอบและเป็นการเบิกเงินสดมาถือไว้ไม่มีการขีดเส้นกำหนดเวลาจ่าย
พ.ต.ท.วันนพ กล่าวว่า "ถ้าเจ้าหน้าที่ ป.ป.ท.เอาหลักฐานที่ชาวบ้านได้รับเงินไปให้เขาดู ถ้าเขาเห็นบอกไม่ได้รับเงินจริงอย่างนี้ทุจริตหรือไม่ ต้องไปคิดกันเอาเอง แต่เรายังพบว่าในส่วนที่ผู้ว่าฯ ไปออกงานแล้วก็ถ่ายรูปว่าผู้ว่าฯ แจกเงินให้คนจน อันนี้จะได้รับเงินเต็ม แสดงว่าถ้ามีสักขีพยาน ไม่ใช่เขาทำกันเองจะทำให้โปร่งใส หรือให้เงินไปถึงตัวคนรับโดยตรงอย่างเอาเงินเข้าบัญชี"
"ตอนนี้บอร์ด ป.ป.ท.ตั้งอนุกรรมการไต่สวนแล้ว 7 จังหวัดโดยตั้งจังหวัดละ 1 ชุดต่อ 1 ศูนย์ ซึ่งแต่ละชุดจะมีเจ้าหน้าที่ 7-9 คนก็จะตรวจสอบพยานหลักฐานและข้อเท็จจริง จากนั้นขั้นตอนต่อไปหากพบผิดจริง ป.ป.ท.จะแจ้งข้อกล่าวหาและผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งมี ผอ.ศูนย์รวมอยู่ด้วยจะต้องมาชี้แจงเพื่อให้การสอบปากคำ ซึ่งอาจจะปรากฏความจริงว่าโยงถึงใครในระดับที่สูงกว่าหรือไม่"
ลั่นตรวจสอบโยงถึงใครดำเนินคดีหมด
เมื่อถามว่าแล้วใครจะต้องรับผิดชอบต่อการทุจริตที่เกิดขึ้นในครั้งนี้บ้างนั้น? พ.ต.ท.วันนพ บอกว่า คนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดนอกจากต้องรับผิดทั้งทางวินัยร้ายแรงและทางอาญาแล้วยังต้องรับผิดทางแพ่งด้วย เพราะเงินนี้เป็นเงินหลวงเมื่อมีการสูญหายหรือเบียดบังไปต้องมีการชดใช้ หรือที่เรียกว่าความผิดทางละเมิดจะต้องรับผิดชอบชดใช้เงินทางแพ่งอีกด้วย โดยขั้นนี้เรายังอยู่ระหว่างการสอบพยาน ซึ่งจะพยายามตรวจสอบให้ได้มากที่สุดว่าได้รับเงินเท่าไร หรือไม่ได้รับเงินเลย ซึ่งจะได้รวบรวมตัวเลขความเสียหายต่อไป ขณะที่บางคนไม่เข้าหลักเกณฑ์ได้รับเงินต้องเรียกคืน ส่วนคนที่ต้องได้แต่จ่ายเต็มจำนวนหรือไม่ได้รับเลยตรงนี้ทาง พส.ต้องเข้าไปเยียวยา
ขณะนี้เท่าที่ ป.ป.ท.ตรวจสอบพบในส่วนเจ้าหน้าที่ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งนั้น จากการตรวจสอบตามเอกสารที่ปรากฏในการเบิกจ่าย จะดำเนินการกับคนที่มีพยานหลักฐานยืนยันหรือมีความเกี่ยวข้องในเอกสาร อย่างเช่นการอนุมัติเบิกจ่ายนั้นมีคนเดียว คือ ผอ.ศูนย์คุ้มครองฯทั้งหมดทุกคนที่เซ็นต์ก็คงต้องโดน ถัดมาคนที่ไปรับรองในเอกสาร คนที่สามคนที่ไปวินิจฉัยเพราะเป็นคนที่อยู่ในกระบวนการเบิกจ่ายฎีกานี้ เพราะฉะนั้นคุณต้องรับผิดชอบ
สมมติว่าศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งแห่งหนึ่งมีอยู่ 10 คน ซึ่งถ้า 10 คนนี้มีอยู่ 3 คนที่ไม่เคยเซ็นต์อะไรเลยก็จะรอดไป แต่ถ้าใครเซ็นต์โดยถูกต้องก็ไม่มีปัญหาก็จบไป แต่ถ้าใครไปเซ็นต์รับรองหรือวินิจฉัยผิดไปจากความถูกต้องก็ต้องรับผิดชอบ เพราะฉะนั้นแต่ละศูนย์อาจมีผู้ที่ถูกกล่าวหาไม่เหมือนกัน บางศูนย์เจ้าหน้าที่อาจจะโดนน้อย แต่บางศูนย์เจ้าหน้าที่อาจจะโดนยกศูนย์ หรือโดนแค่ ผอ.ศูนย์กับคนรอง ก็ได้ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับเอกสารที่ตรวจสอบพบ แต่บางคนอาจโชคดีที่เราไปตรวจแล้วไม่พบเขาก็อาจหลุดแต่คนที่ต้องรับแน่ๆ คือ ผอ.ศูนย์ซึ่งเป็นคนที่อนุมัติจ่ายเงินในส่วนของศูนย์แต่ละแห่ง ทำการแทนอธิบดี
"คนที่อยู่ในขั้นตอน 2,3 และ 4 ต้องรับผิดชอบ ผอ.ศูนย์ฯ ซึ่งเป็นคนที่อนุมัติจ่ายเงินในส่วนของศูนย์แต่ละแห่ง แต่หลังอนุมัติจ่ายเงินแล้วเงินจะกลับไปอย่างไร ป.ป.ท.ต้องไปสอบต่อ ถ้า ผอ.ศูนย์เล่าให้ฟังหมดก็ง่าย ก็จบแต่ถ้า ผอ.ศูนย์รับเองว่าเป็นคนทำทั้งหมดก็จบอยู่ที่ ผอ.ศูนย์ แต่หากให้การโยงไปถึงใครคนนั้นก็โดน ขณะนี้ ป.ป.ท.ยังไม่ได้ลงไปสอบแต่มีข้อมูลมาว่าข้างล่างระดับรองจาก ผอ.ศูนย์ก็โยนมาที่ ผอ.ศูนย์แล้วว่า ผอ.ศูนย์นั่นแหละเป็นคนสั่งให้ทำ มันไม่มีใครยอมตายหรอก เพราะว่าต้องรับผิดชอบทางคดีละเมิดด้วย แต่ยังไงก็ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงที่ผู้เกี่ยวข้องจะให้การ"
เผย จนท.สุดสะเทือนใจเห็นคนพิการถูกโกง
พ.ต.ท.วันนพ เปิดเผยด้วยว่า เจ้าหน้าที่ ป.ป.ท.ตอนนี้ทำงานวันเสาร์-อาทิตย์ไม่มีวันหยุดนานเป็นเดือนแล้ว แต่เราอยากปิดจ๊อบตรวจสอบให้ครบทั้ง 76 จังหวัด ซึ่งแรกๆ ที่ ป.ป.ท.ทำเรื่องนี้ คิดว่าจะทำเพื่อนำตัวคนผิดมาลงโทษ ดำเนินคดี แต่พอๆ ทำไปแล้วไม่ใช่แล้ว ตอนนี้ความรู้สึกน้องๆ เปลี่ยนหมดแล้ว นอกจากจะนำตัวคนทำผิดมาลงโทษให้ได้แล้ว เกิดความเห็นใจว่าไปทำกับคนจนได้ยังไง ครั้งนี้ควรจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ปีหน้า หรือปีต่อๆ ไปไม่ควรเกิดเหตุการณ์อย่างนี้อีก เพราะจากการลงพื้นที่ไปตรวจสอบจะเห็นภาพของคนพิการ ที่ถูกโกง ซึ่งมันสะเทือนใจมาก
"เท่าที่คุยกับน้องๆ เจ้าหน้าที่ทัศนคติเดิมเปลี่ยนไปแล้ว จากเดิมที่ต้องการเอาตัวคนทำผิดมาลงโทษให้ได้ แต่ตอนนี้เราคิดว่าทำเพื่อคนจนและสังคม ว่าทำยังไงให้คนจนได้รับเงินตามสิทธิ์ให้ได้มากที่สุด ซึ่งรัฐจัดให้แล้วเพื่อจะยกระดับคุณภาพชีวิต แต่กลับไปเบียดบังเงินเขา เราต้องการให้มีมาตรการอุดช่องโหว่ ช่องว่างให้ชาวบ้านได้รับเงินเต็มเม็ด เต็มหน่วย"
มาถึงตรงนี้ไม่ต้องบอกก็รู้ใครคือ "ไอ้โม่ง"
อ่านกันมาถึงตรงนี้แล้ว ถ้าจะถามหา "ไอ้โม่ง" ที่อยู่เบื้องหลังโคตรโกงเงินคนจน คนพิการและผู้ป่วยเอสด์เป็นใคร ก็คงต้องย้อนกลับไปดูข้อเท็จจริงที่พบมีปัญหาหนักสุดในช่วงปี 2558-2560 ต้องไปดูว่าใครเป็นผู้บริหารในช่วงเวลานั้น ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นมีข้าราชการ พม.ที่ดีๆ ทั้งที่ลาออก และเกษียณราชการไปแล้วได้ให้ข้อมูลว่าเรื่องนี้มีปัญหามานานแล้วตั้งแต่สมัยยังเป็นหน่วยงานในสังกัดกรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงมหาดไทย ซึ่งอาจจะมีบ้าง บางจุด บางคน แต่ว่ามามีปัญหาทุจริตหนักสุดในช่วง 3 ปีท้ายๆ นี้เอง
.
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี