‘เขาหยาม...เหมือนเขามาขี้ใส่หัวใจเรา’!เปิดใจทีม‘หน.วิเชียร’กับนาทีเห็น‘ซากไก่ฟ้า-เสือดำ’
ต้นเดือนมีนาคม เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ด้านตะวันออก
มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ได้จัดอบรมการเก็บข้อมูลการใช้ประโยชน์พื้นที่ของกิจกรรมชุมชนและสัตว์ป่า ให้กับเจ้าหน้าที่มูลนิธิสืบนาคะเสถียร โดยมีเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ด้านตะวันออก ตัวแทนคณะกรรมการชุมชน 7 กลุ่มบ้าน รวมถึงตัวแทนเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ด้านตะวันตก เข้าร่วมกิจกรรมการอบรมครั้งนี้ด้วย
ผู้เขียนจึงถือโอกาสขอพูดคุยกันสั้นๆ คุณปัณภัทร์ ว่องไว นักวิชาการป่าไม้ และคุณสมพร เมาศรี เจ้าหน้าที่ทุ่งใหญ่นเรศวร ด้านตะวันตก หลังรับประทานอาหารเช้าก่อนจะแยกย้ายไปทำกิจกรรม ถึงเรื่องราวการทำงานร่วมกับ “คุณวิเชียร ชินวงษ์” หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ด้านตะวันตก และความรู้สึกต่อกรณี “ล่าเสือดำ” ที่เจ้าหน้าที่ได้ไปพบเจอซากสัตว์ป่าตรงลำห้วยปะชิ
ขณะที่แสงอาทิตย์ฉายทะลุม่านหมอก ลูบไล้ชั้นบรรยากาศ มอบความอบอุ่น เพื่อต้อนรับเช้าวันใหม่ “ไก่ฟ้าหลังเทา” เดินลัดเลาะบริเวณหญ้าต้นเตี้ยๆ ละแวกสำนักงานเขต ก่อนหลบหายไปในความรกชัฏ บทสนทนาของถึงคนทำงานในป่าจึงได้เริ่มต้น
จากที่ได้ทำงานร่วมกับหัวหน้าวิเชียรเป็นอย่างไร ?
คุณปัณภัทร์ ว่องไว เล่าว่า เราร่วมงานกับหัวหน้าวิเชียร ได้ประมาณสิบกว่าเดือน หัวหน้าเต็มที่กับการทำงาน โดยเฉพาะงานปราบปราม งานชุมชนเองก็ทำ แต่จะเน้นหนักไปทางแรกเสียมากกว่า เขาเก่งทางด้านนั้น ส่วนปฏิสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่ หากลูกน้องขาดตกบกพร่องอะไรก็จะคอยช่วยเหลือตลอด
“เป็นคนที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายครับ”
ส่วนเรื่องงานปราบปรามการล่าสัตว์ “หัวหน้าวิเชียร” ได้เข้ามาปรับระบบการทำงาน ปรับเปลี่ยนวิธีการเสริมเทคนิคเข้ามาใช้ในการจับกุมมากขึ้น ผลที่ได้คือสามารถจับคดีได้เยอะขึ้น
ทางด้านคุณสมพร เมาศรี มองว่า การปฏิสัมพันธ์ระหว่างหัวหน้ากับลูกน้องถือว่าใช้ได้ เพราะจะมองว่าดีก็คงจะตัดสินไม่ได้จากช่วงเวลาแค่สิบเดือนที่ได้อยู่ร่วมกัน ทำงานร่วมกัน ตัวหัวหน้าก็ต้องใช้เวลาในการปรับตัว เมื่อย้ายพื้นที่ทำงานย่อมต้องใช้เวลาเหมือนกัน จะให้เข้ามาแล้วเข้ากันได้เดี๋ยวนั้น ก็คงเป็นไปได้ยาก แต่เห็นอยู่ว่าการทำงานร่วมกันได้ดี
“หัวหน้าคนนี้เข้ามาเป็นสายปราบปราม ถึงขั้นขนาดว่าสามารถมาเดินลาดตระเวนร่วมกับลูกน้องในทีมได้”
เมื่อถามว่าบ่อยแค่ไหนคุณปัณภัทร์ ว่องไว รีบแจงว่าเนื่องจากหัวหน้ามีตำแหน่งข้าราชการจึงมีภาระหน้าที่ไปประชุมมีภารกิจอื่นๆเยอะ หากว่างจากงานหลักก็จะมาเดินลาดตระเวนด้วย ซึ่งจะมีการวางแผนการทำงานจากการประชุมประจำเดือน ดูปัจจัยเสี่ยง ประเมินสถานการณ์ว่าตรงไหนที่น่าจะเสี่ยงต่อการถูกคุกคาม
“ซึ่งภัยคุกคามในพื้นที่มิได้มีแค่การล่าสัตว์เท่านั้น ยังมีการทำไม้ บุกรุกพื้นที่ แต่ยังไม่เยอะจนเราคุมไม่ได้ เจอการเก็บหาของป่าบ้าง ซึ่งหากเจอเราก็จับ มันเป็นเรื่องปรกติรอบหมู่บ้านครับ การพบการกระทำผิด เราก็ต้องแสดงตัว จับกุมตามระเบียบหน้าที่เป็นธรรมดา” คุณสมพร เมาศรี กล่าวเสริม
จากที่ได้ทราบมาว่าเจ้าหน้าที่ทั้งสองท่านนี้ เป็นหนึ่งในผู้ได้เห็นซากสัตว์ในที่เกิดเหตุ ผู้เขียนจึงสอบถามความรู้สึกของพวกเขา คุณสมพร เมาศรี ตอบทันทีว่า “พี่ๆ เจ้าหน้าที่หลายคนก็น้ำตาซึมครับ”
ผู้สัมภาษณ์ทอดเวลาให้ผ่านไปสักพักความเงียบเข้าปกคลุมได้ช่วงครู่ แววตาของคู่สนทนามีประกายน้ำวิบไหวแล้ว จึงขอย้อนกลับไปถามถึงสิ่งที่พบที่ได้เจอนั้นว่ามีซากสัตว์อะไรบ้าง โดยคุณปัณภัทร์ ว่องไว เล่าว่า ตอนนั้นที่เข้าใจคือเราเจอไก่ฟ้าหลังเทา เนื้อหมูป่า เนื้อแห้งเนื้อเค็ม หลายอย่าง พวกเนื้อเราระบุไม่ได้ว่าเขาไปได้มาจากไหน
“แต่ที่เราระบุได้ คือ “ไก่ฟ้าหลังเทา” กับ “เสือดำ” นี่แหละ เพราะว่าตัวซากยังสมบูรณ์ครบอยู่ทุกส่วน สามารถประกอบออกมาเป็นตัวสัตว์ได้ นอกนั้นจะเป็นชิ้นเนื้อ” คุณสมพร เมาศรี ให้ความเห็นเพิ่มเติม
เมื่อถามอีกครั้งว่า ในฐานะคนที่ลาดตระเวน ทำงานเพื่อปกป้องสัตว์ป่าและบ้านของสัตว์ป่า การที่ได้เห็นซากสัตว์ตายตรงนั้นรู้สึกอย่างไร ทั้งสองตอบรวดเร็วเป็นเสียงเดียวกันว่า “แค้น”
กระนั้นคุณสมพร เมาศรี ชี้แจงต่อไปอีกว่าจริงๆแล้วมันจะมีสองอารมณ์พร้อมกัน ทั้งแค้นและคิดว่าทำไมเขาทำกับเราแบบนี้ เจ้าหน้าที่หลายคนก็น้ำตาซึม เสียดาย เสียใจ
เจ้าหน้าที่เล่าว่าตอนนั้น “หัวหน้าวิเชียร” มีหลากหลายอารมณ์ผสมกัน เนื่องจากช่วงนั้นหัวหน้ามีความเครียดเป็นฐานเดิมอยู่แล้ว ด้วยมีภารกิจ มีประชุมเขตฯ มีอบรมการลาดตระเวนเชิงคุณภาพ (Smart Patrol System) งานติดต่อกันไปหมด ไม่ได้พักมาหลายวัน หน้าของหัวหน้าตอนนั้นบอกได้อย่างเดียวก็คือโทรมมาก
ส่วนเจ้าหน้าที่พี่ๆหลายคนบ่นพึมพัมน้ำตาซึมว่า เขาไม่น่าทำกับเราแบบนี้เลย
คุณปัณภัทร์ ว่องไว กล่าวว่า “เขาหยามเรา”
“ใช่ครับ เขาหยามเรา” คุณสมพร เมาศรี พยักหน้าพร้อมย้ำคำพูดเพื่อนอีกครั้ง ก่อนจะกำมือขวาทุบหน้าอกตรงตำแหน่งหัวใจของเขาเองสองถึงสามครั้ง และเล่าต่อด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้น แต่ในดวงตาของกลับสั่นไหว “เหมือนเขามาขี้ใส่หัวใจเรา”
ผู้สัมภาษณ์ไม่แน่ใจว่าการสนทนาครั้งนี้จะพัดพาเราไม่สู่จุดหมายใด การบอกเล่าคำพูดจากคนทำงานในป่าเผยแพร่สู่คนเมืองครั้งนี้ จะทำให้เราสามารถเข้าใจความรู้สึกของเจ้าหน้าที่ทำงานพิทักษ์ปกปักษ์รักษาป่าและสัตว์ป่า ต่อการสูญเสียกรณีที่เกิดขึ้นนี้ได้กี่ส่วน แต่เชื่อว่ามันจะสามารถเป็นส่วนหนึ่งที่นำพาบางสิ่งบางอย่าง อย่างน้อยก็กำลังใจจากคนเมืองกลับคืนสู่คนทำงานในป่าได้ไม่มากก็น้อย
ผู้สัมภาษณ์ไม่อาจคาดหวังให้เหตุการณ์ครั้งนี้ ล้มล้างค่านิยมความเชื่อเกี่ยวกับเครื่องรางของขลัง หรือวัตถุนิยมของแปลกให้หมดสิ้นไปได้ กระนั้นก็อยากให้ลดลงทีละมากๆ
หากคุณคือนักสะสมหนังสัตว์ อาจมองว่าการประดับหนังเสือบนฝาผนังบ้าน จึงจะสวย ควรค่า มีราคา แต่พวกเขามองว่าหากชีวิตของพวกมันได้โลดแล่นอยู่ป่านั้นคือคุณค่าที่แท้จริง ที่ซึ่งสัตว์แต่ละตัวแต่ละชนิดมีหน้าที่ตามระบบนิเวศของมัน เฉกเช่นมนุษย์คนหนึ่งมีหน้าที่ของตนที่ควรพึงกระทำ
ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้สัมภาษณ์ไม่อาจชี้ว่าสิ่งใดถูกหรือสิ่งใดผิด ได้แต่ปล่อยให้เป็นไปการพิจารณาภายใต้กฎหมาย โดยไม่ลืมจะติดตามอย่างใกล้ชิดตามหน้าที่ของตนอย่างสุดความพยายาม
ขอบคุณเรื่องโดย พัชริดา พงษปภัสร์ เจ้าหน้าที่สื่อสารองค์กร มูลนิธิสืบนาคะเสถียร
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี