1 เม.ย. 2561 สำหรับคอการเมืองแล้ววันนี้สำคัญยิ่ง เพราะเป็นวันแรกที่บรรดาพรรคการเมืองเดิมที่มีอยู่จะได้ “ยืนยันสมาชิกพรรค” ตามคำสั่ง คสช. ที่ 53/2560 ซึ่งความเคลื่อนไหวของ 2 พรรคใหญ่ “เพื่อไทย-ประชาธิปัตย์” ค่อนข้างคึกคัก เช่น พรรคเพื่อไทยขอใช้วันที่ 4 เม.ย. 2561 จัดกิจกรรมรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ในพรรคพร้อมกับรับยืนยันตัวตนสมาชิกพรรคไปพร้อมกัน ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ก็เปิดตัวแอพพลิเคชั่น “ดี-คอนเน็คท์” (D-Connect) เมื่อ 27 มี.ค. 2561 อำนวยความสะดวกในการชำระค่าสมาชิกพรรค พร้อมเรียกร้องหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอนุญาตให้ใช้ได้
อีกด้านหนึ่ง ตลอดเดือน มี.ค. 2561 ที่ผ่านมา กลุ่มการเมือง “หน้าใหม่” ได้เข้ายื่นขอจดทะเบียนพรรคกับสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไปแล้วราว 90 พรรค และมีไม่น้อยที่สร้างเสียง “ฮือฮา” อาทิ พรรคอนาคตใหม่ ที่ประกาศจุดยืน “ล้างมรดก คสช.” ทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญ (รธน.) เพื่อเปิดช่องให้สามารถนำประกาศและคำสั่งของ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) มาพิจารณาได้ว่าฉบับใดชอบหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย รวมถึงให้ผู้ได้รับผลกระทบอย่างไม่เป็นธรรมมีสิทธิฟ้องเพื่อได้รับการเยียวยาจาก คสช. อีกด้วย
นอกจากนี้ยังเสนอให้ “ประชาชนมีสิทธิในการทำทุกวิถีทางเพื่อต่อต้านรัฐประหาร” และย้ำว่า “ผู้ทำรัฐประหารต้องถูกลงโทษ” รวมถึงแก้ไข รธน. เพื่อเปิดช่องไปสู่ “การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เป็นฉบับของประชาชนอย่างแท้จริง” เรียกว่างานนี้ “เปิดหน้าชน” กันตรงๆ ซึ่งต้องบอกว่าสถานะของพรรคอนาคตใหม่วันนี้คือ “ล่อเป้า” จากทุกทิศทาง ทั้งฝ่าย “ไม่เอาทักษิณ-ไม่ชอบเสื้อแดง” ที่พุ่งเป้าไปที่ 2 แกนนำ
ไม่ว่าจะเป็น ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ รองประธานบริหารกลุ่มบริษัทไทยซัมมิท ผู้เป็นหลานชายของ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตรัฐมนตรีสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร และพรรคไทยรักไทย ซึ่งเคยเกิดกรณีอื้อฉาว “ซีทีเอ็กซ์” (CTX) เครื่องเอกซเรย์ตรวจสัมภาระที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ แม้ต่อมา สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จะชี้ว่าสุริยะไม่มีความผิด แต่ก็เป็น “บาดแผล” ทางการเมืองไปแล้ว
และ ปิยบุตร แสงกนกกุล อาจารย์ด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อดีตแกนนำกลุ่ม “นิติราษฎร์” ที่รณรงค์ให้แก้ไขกฎหมายหมิ่นเบื้องสูง “มาตรา 112” อันเป็น “ประเด็นอ่อนไหว” ของสังคมไทย ซึ่งแม้แกนนำนิติราษฎร์อีกผู้หนึ่ง วรเจตน์ ภาคีรัตน์ จะย้ำว่าปิยบุตรตัดขาดกับกลุ่มนิติราษฎร์แล้วตั้งแต่ตัดสินใจลงสู่สนามการเมือง แต่เรื่องนี้คงต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ เพราะ ณ ปัจจุบันหลายคนยังยากจะเชื่อ
ขณะที่ฝ่าย “ผู้ที่คล้ายจะอยู่ฝ่ายเดียวกัน” ก็ยังมีท่าทีสงสัย เช่น ใจ อึ๊งภากรณ์ อดีตอาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่หลบหนีคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอยู่ในอังกฤษ ตั้งข้อสังเกตถึง “นโยบายยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ใช้แรงงาน” ว่าพรรคอนาคตใหม่จะมีหรือไม่? อย่างไร? เพราะบริษัทที่ ธนาธร บริหารอยู่นั้น มีประวัติการใช้นโยบาย “จัดการกับแรงงานที่เรียกร้องสิทธิ” เมื่อปี 2549 และ 2557 นอกจากนี้ “ฮาร์ดคอร์” บางกลุ่มก็ไม่พอใจที่ ปิยบุตร ประกาศว่าจะไม่ใส่ประเด็นมาตรา 112 เข้าไปในนโยบายพรรคเช่นกัน
ส่วนกลุ่มการเมืองอื่นๆ ที่น่าสนใจ เช่น ชวน ชูจันทร์ ผู้ก่อตั้ง “ตลาดน้ำคลองลัดมะยม” ยื่นขอตั้ง พรรคพลังประชารัฐ ที่มีการตั้งคำถามกันตั้งแต่วันแรกๆ เช่นกันว่า “ใช่พรรคของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หรือไม่?” จนทางผู้เกี่ยวข้องกับ คสช. ต้องออกมาปฏิเสธข่าวลือดังกล่าว และชวนนั้นก็ยืนยันว่ายังไม่ได้เชิญ พล.อ.ประยุทธ์ มาร่วมพรรคแต่อย่างใด ส่วนนโยบายนั้น จากที่เคยทำงานด้านสิ่งแวดล้อมกับชุมชนมากว่าทศวรรษ จึง “เน้นความเข้มแข็งของชุมชน” ยุติปมความขัดแย้งทางการเมือง
อีกพรรคที่ถูกมองว่าเป็น “พรรคทหาร” เพื่อเตรียมสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ คือ พรรคเพื่อชาติไทย พรรคที่มี อัมพาพันธ์ ธเนศเดชสุนทร ภรรยาคนสุดท้ายของ “บิ๊กจ๊อด” พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ อดีตหัวหน้าคณะรัฐประหารเมื่อปี 2534 ในนาม “คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.)” เป็นแกนนำ ในเบื้องต้น อัมพาพันธ์ ให้มุมมองที่น่าสนใจว่า “คนเก่าๆ ควรล้างมือจากการเมือง” ทั้งทักษิณ ชินวัตร, สุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำเสื้อแดง-เสื้อเหลือง หรือแม้กระทั่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพื่อเปิดทางให้ประชาชนได้มีความคิดใหม่ๆ ในการเลือกผู้นำประเทศ
ส่วนเรื่องนโยบาย เอกชัย ฐปนานนท ผู้ร่วมก่อตั้งพรรคเพื่อชาติไทย เปิดเผยออกมาคร่าวๆ เช่น “รัฐบาลควรปล่อยมือจากรัฐวิสาหกิจ” ไม่ควรเข้าไปถือหุ้น แต่ควรให้รัฐวิสาหกิจอยู่ในการดูแลของกลุ่มอาชีพต่างๆ แทน นอกจากนี้ยังเสนอให้ลดการลิดรอนสิทธิของผู้ประกอบการต่อเกษตรกร เพื่อให้เกษตรกรมีผลประกอบการมากขึ้น รวมถึงทุกคนจะต้องได้รับบริการทางการแพทย์และการศึกษาอย่างมีคุณภาพ
นอกจากพรรคที่มุ่งเรื่องการเมืองภาพใหญ่ ยังมีพรรคที่จัดตั้งขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาสังคมเป็นการเฉพาะเรื่อง เช่น พรรคกรีน ซึ่งนำโดย พงศา ชูแนม อดีตหัวหน้าหน่วยอนุรักษ์และจัดการต้นน้ำพะโต๊ะ จ.ชุมพร ผู้ได้รับรางวัลด้านการอนุรักษ์ธรรมชาติจากหลายองค์กร ชูนโยบาย “ธนาคารต้นไม้” กำหนดให้ไม้ที่ประชาชนปลูกต้องเป็นทรัพย์สินของประชาชน จากเดิมที่ไม้หวงห้ามบางประเภท แม้จะปลูกในที่ดินของตนเองแต่ก็ไม่สามารถตัดได้ โดยหากแก้ไขจุดนี้ได้ก็จะทั้งลดปัญหาการลักลอบตัดไม้ในป่า และสร้างรายได้ให้เกษตรกร
อีกทั้งย้ำว่า “ไม้ต้องสามารถตีมูลค่าได้ตั้งแต่ยังไม่ตัด” เพื่อสามารถใช้เป็นหลักทรัพย์ได้เหมือนทรัพย์สินอื่นๆ มีกองทุนบริหารจัดการครบวงจร และยังมีนโยบาย “ที่ดินเป็นธรรม” คนร่ำรวยที่สะสมที่ดินไว้มากๆ หากไม่นำมาให้ประชาชนคนยากจนปล่อยเช่าจะต้องเสียภาษีที่ดินในอัตราสูง โดยพงศา ระบุว่า “สังคมมั่นคงและเป็นธรรมเริ่มที่ชนบท” หากคนชนบทมีรายได้พอเลี้ยงชีพ ช่องว่างความเหลื่อมล้ำน้อย สังคมเมืองและประเทศโดยรวมก็จะดีไปด้วย
ปิดท้ายด้วย พรรคเห็นแก่ตัว ที่แกนนำพรรค กริช ตรรกบุตร อธิบายว่าใช้ชื่อนี้เพราะ “ตัวเราต้องมั่นคงก่อนแล้วจึงไปช่วยชาติ” อีกทั้งเดิมทีจะใช้ชื่อ “พรรคเห็นแก่ตัวเพื่อชาติ” แต่ดูแล้ว “ยาวเกินไป” เลยตัดเหลือเห็นแก่ตัวเฉยๆ พรรคนี้ชูนโยบาย “แก้ไขปัญหาการจราจรในกรุงเทพฯ” ที่ทราบกันดีว่าเมืองหลวงของไทยติด “ท็อปไฟว์” (Top5) เมืองรถติดหนักที่สุดในโลกทุกปี โดยเสนอให้ “เลิกสัญญาณไฟแดงให้หมด” ใช้หลัก “เลี้ยวซ้ายผ่านตลอด” แล้วไปกลับรถเอาตามจุดกลับต่างๆ การจราจรจะลื่นไหลดีกว่ามีไฟแดงกักรถไว้นานๆ จนเป็นแถวยาว
ต้องบอกว่านี่เป็นเพียง “ส่วนหนึ่ง” เท่านั้น ส่วนพรรคใดจะ/ไปได้แค่ไหน..ขอให้อดใจรอวันเลือกตั้ง!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี