ถอดบทเรียนค้ามนุษย์น้ำเพียงดิน ขรก.ซื้อกามเด็กแม่ฮ่องสอน จัดหนักข้าราชการโทษ320ปีซึ่งไม่เคยมีมาก่อน "ทิชา"อัดพฤติกรรมเลี้ยงดูปูเสื่อกับข้าราชการกังฉิน ระบุจุดอ่อนปมคุ้มครองพยานไม่สุดทาง ปลุกกระแสสังคมกดดันนำคนผิดมาลงโทษเด็ดขาด
23 เม.ย.61 ที่โรงแรมเอบิน่าเฮ้าส์ ในเวทีเสวนา "ถอดบทเรียนค้ามนุษย์น้ำเพียงดิน มองถึงเทียร์2 (เฝ้าระวัง) ประเทศไทย" จัดโดย โครงการปกป้องเด็กและเยาวชน ลดปัจจัยเสี่ยงทางสังคม มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล มูลนิธิพิทักษ์สตรี แผนงานสุขภาวะผู้หญิงและความเป็นธรรมทางเพศ เครือข่ายนักกฎหมายเพื่อเด็กและเยาวชน และศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน(ชาย)บ้านกาญจนาภิเษก ทั้งนี้ ภายในงานมีการแสดงเชิงสัญลักษณ์ "เธอผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง" เพื่อให้กำลังใจผู้เสียหายที่ลุกขึ้นมาสู้
นางทิชา ณ นคร ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กและเยาวชน ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน(ชาย)บ้านกาญจนาภิเษก กล่าวว่า สืบเนื่องจาก18 เมษายน ที่ผ่านมา ศาลอาญา รัชดา ตัดสินคดีค้ามนุษย์เด็กต่ำกว่า18ปี ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน มีจำเลยทั้งหมด 8 คน ด้วยโทษจำคุกตั้งแต่ 8 ปี ไปจนถึง 320 ปี เนื่องจากผู้ซื้อบริการทางเพศส่วนใหญ่เป็นข้าราชการเกือบทุกระดับ แทบทุกสังกัดในจังหวัดแม่ฮ่องสอน และเมื่อมีคำพิพากษานี้ออกมา เชื่อว่าน่าจะหยุดความฮึกเหิม เมามัน พฤติกรรมเลี้ยงดูปูเสื่อในหมู่ข้าราชการ และขบวนการค้ามนุษย์ โดยเฉพาะข้าราชการแตกแถวบางคนได้ในระดับหนึ่ง และน่าจะเป็นครั้งแรกที่เจ้าหน้าที่รัฐซึ่งเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ามนุษย์ถูกดำเนินคดี และได้รับโทษตามกฎหมายอย่างรุนแรงที่สุด
นางทิชา กล่าวว่า ผ่านมากว่า 1 ปีกับปรากฏการณ์น้ำเพียงดิน จ.แม่ฮ่องสอน และคำตัดสินครั้งนี้ สะท้อนว่า ค่านิยมการเลี้ยงดูปูเสื่อมันแข็งแรงและตายไม่เป็น คนทำงานสะเทือนใจไปกับเด็กหญิงที่ตกเป็นข่าว โดยเฉพาะการเชื่อมโยงที่ทำให้สังคมรู้สึกว่าพวกเธอนำความเสียหายสู่จังหวัด แต่กลับไม่เห็นความผิดความเลวของผู้ใหญ่ที่กระทำ หรือมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบโดยตรง นอกจากนี้ยังเป็นการตอกย้ำถึงอำนาจเจ้าหน้าที่รัฐในเมืองเล็กๆ มันน่ากลัวและเห็นอันตราย เห็นถึงการพ่ายแพ้ของเด็กๆ
นางทิชา กล่าวอีกว่า ปรากฏการณ์น้ำเพียงดิน ทำให้เราได้เห็นถึงการเปลี่ยนหน้าที่การวางตำแหน่งตามกฎหมายให้เป็นอำนาจ เป็นอิทธิพล และเป็นแก๊งค้ามนุษย์ ประเด็นสำคัญที่ต้องทำให้ชัดเจนขึ้น คือ การคุ้มครองพยานที่อาจจะไปไม่สุดทาง หรือการให้น้ำหนักไปกับคดีความมั่นคง ทั้งที่คดีนี้เป็นคดีค้ามนุษย์ ที่สำคัญบาดแผลคดีค้ามนุษย์ต่างจากคดีความมั่นคง
“ขอให้ทุกคนร่วมส่งกำลังใจให้เด็กหญิงผู้เสียหายในคดีนี้ ที่ช่วยส่งคนผิดมารับโทษ พวกเธอคือส่วนสำคัญในการสร้างบรรทัดฐานทางกฎหมายในคดีค้ามนุษย์ ส่วนตัวยังเชื่อว่าความจริงจะค่อยๆเผยหน้าในกลุ่มผู้ซื้อบริการที่มีอำนาจหน้าที่ ซึ่งต้องถูกลงโทษด้วยเช่นกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ถือกฎหมาย ผู้ที่มีอำนาจในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ตามหน้าที่แต่กลับทำผิดเสียเอง" นางทิชา กล่าว
พ.ต.อ.เผด็จ ภู่บุบผากาญจน ผู้กำกับการฝ่ายอำนวยการ สำนักงานกฎหมายและคดี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า รายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ หรือ ทิปรีพอร์ต ประจำปี 2560 ปรากฎว่า สหรัฐยังคงจัดอันดับให้ไทยอยู่ในระดับ เทียร์ 2 ที่ต้องจับตาเฝ้าระวัง หลังจากอยู่ที่ระดับ เทียร์ 3 เป็นเวลา 2 ปีติดต่อกัน ซึ่งกฎหมายการค้ามนุษย์ของไทยบังคับใช้ตั้งแต่ปี 51 และไทยปรับตัวได้เร็วและปรับแก้กฎหมายจนมีความก้าวหน้าครอบคลุมไปมาก เมื่อเทียบกับปี58-59 ยิ่งคดีที่แม่ฮ่องสอนยิ่งชัดเจน ว่าบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น และเจ้าหน้าที่รัฐ โทษหนัก 2 เท่า ปรากฎการณ์จำคุก 320 ปี นับเป็นครั้งแรกที่ไม่เคยมีมาก่อน
อย่างไรก็ตาม ตนอยากให้มองข้อเท็จจริงว่าไทยมีสภาพเป็นเซ็นเตอร์ เป็นประเทศที่เป็นทางผ่าน และเป็นปลายทาง หากต้นทางไม่ช่วยเป็นหูเป็นตนเข้มงวดการค้ามนุษย์ก็ไม่เกิดผล อย่างไรก็ตามจากกรณีนี้ถือเป็นความร่วมมือกันของทุกภาคส่วนที่เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการเข้ามาหนุนเสริมขององค์กรภาคประชาชนที่มีส่วนสำคัญอย่างมาก ในการทำให้ผู้เสียหายหนักแน่นและรักษาความจริงให้ปรากฏอย่างมีพลัง
ด้าน นางสาวนัยนา สุภาพึ่ง อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่า ปรากฎการณ์น้ำเพียงดิน ถือเป็นการสร้างบรรทัดฐานกับสังคม และยังให้คำตอบกับคนที่ไม่เข้าใจปัญหาการค้ามนุษย์ หยุดการเคยชินกับผู้ชายที่ออกนอกบ้านไปใช้บริการทางเพศอย่างชอบธรรม หยุดค่านิยมการยอมรับการขายบริการเป็นเรื่องปกติ และสิ่งที่ขมขื่นที่สุดคือ เราประณามหยามเหยียดผู้หญิงที่เป็นเหยื่อ สายตาสังคมมองเขาเป็นผู้หญิงไม่ดี ไม่มีพื้นที่ยืนในสังคม แต่สังคมกลับยอมรับความย้อนแย้งนี้ ขณะเดียวกันฝ่ายรักษากฎหมายเจ้าหน้าที่ก็ยังคุ้นชินกับเรื่องนี้ ไม่กระตือรืนร้นในการช่วยเหลือเมื่อเหยื่อมาแจ้งความ
"เหยื่อที่ถูกเอาเปรียบทางเพศ กว่าที่เขาจะผ่านพ้นมาได้ น้องเขาต้องต่อสู้กับอำนาจอิทธิพล เผชิญกับแรงเสียดทาน การถูกตีตรา ถูกดูถูกกับคำถามที่ว่าสมควรจะได้รับการคุ้มครองแล้วหรือ การกล้าหาญออกมาให้ข้อมูลข้อเท็จจริง ถูกถามซ้ำเรื่องเพศ ผลิตซ้ำความรุนแรง เพื่อต่อสู้กับความ อยุติธรรมและให้ได้รับการคุ้มครองมันไม่ใช่เรื่องง่าย และคดีนี้ จะทำให้สังคมมองมุมใหม่ สร้างความชัดเจนขึ้น ทั้งนี้คนทำงานคงต้องติดตามคดีนี้ รอดูคำพิพากษาของศาลฎีกาและศาลอุธรณ์ต่อไป" นางสาวนัยนา กล่าว
ขณะที่นางสาวชลีรัตน์ แสงสุวรรณ ผู้ประสานงานมูลนิธิพิทักษ์สตรี กล่าวว่า คดีนี้ ทางมูลนิธิฯได้แต่งตั้งทนายเป็นโจทก์ร่วมฟ้องด้วย ส่วนตัวมองว่าเส้นบางๆ ระหว่างปัญหาการค้ามนุษย์และการค้าประเวณี ระบบอำนาจมันตัดตอนคนที่มีอำนาจออกไป ทำให้ไปปรากฏแต่จำเลย ซึ่งการใช้เรือนร่างของเด็ก เพื่อเสพความสุขทางเพศ โดยขาดความยั้งคิดถึงศีลธรรมอันดี จึงทำให้จำเลยในคดีนี้ได้รับบทลงโทษตามกฎหมายในที่สุด
"ถือว่าไทยได้ทำงานแก้ปัญหาการค้ามนุษย์มาถูกทางแล้ว โดยเฉพาะการดำเนินคดีกับข้าราชการที่กระทำความผิด เพื่อเป็นกรณีตัวอย่าง และถึงแม้ยังจะไม่สามารถโยงใยกับผู้ที่ทำผิดได้ทั้งหมด แต่เชื่อมั่นว่าหากทุกฝ่ายร่วมมือ บูรณาการ ทั้งดูแลคุ้มครองพยาน การดำเนินตามข้อเท็จจริง ผู้กระทำผิดตัวเล็ก ตัวใหญ่ คงถูกปราบปรามให้ยุติพฤติกรรมเลวร้ายแบบนี้ลงไปได้บ้าง" นางสาวชลีรัตน์ ระบุ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี