“ทุกคนรู้หมดว่าในยุคสึนามิของเทคโนโลยี กลัวว่าลูกฉันจะเรียนอะไรดี กลัวตกงาน ปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอ (AI) มันเข้ามา เทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาเต็มไปหมดเลย แต่ผมอยากบอกว่าการศึกษาแบบดั้งเดิมมันสอนให้คนเป็นหุ่นยนต์ คนจึงตกงานเพราะไม่มีทางไปสู้หุ่นยนต์ได้ ที่ผ่านมาระบบการศึกษาดั้งเดิมสอนคนไปป้อนโรงงาน แต่การศึกษาในอนาคตมันต้องเป็นการศึกษาที่ดึงศักยภาพของความเป็นคน”
คำกล่าวของ เรืองโรจน์ พูนผลผู้ก่อตั้ง Disrupt Thailand และกองทุน 500 Tuk Tuks ในงานเสวนา “Reform Showcase: การศึกษา 0.4 ทำไงดีให้เป็น 4.0” โดยสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ถึงทิศทางของการศึกษาของมนุษย์ในอนาคตที่ต้อง “ดึงความเป็นคนกลับมา”หมายถึงมีทักษะที่เครื่องจักรไม่อาจทำแทนมนุษย์ได้ เช่น เห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน (Empathy) หรือมีความคิดสร้างสรรค์ (Creativity)
เรืองโรจน์ ในฐานะ “เด็กภูธร” จาก จ.กำแพงเพชร แต่ได้แรงบันดาลใจบางอย่างจากครูในสมัยเรียน ทำให้สนใจด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จนสามารถไปทำงานในถิ่น “ซิลิคอน วัลเลย์” (Silicon Valley) สถานที่ตั้งของบริษัทด้านเทคโนโลยีชั้นนำของโลกในสหรัฐอเมริกาอยู่หลายปี กล่าวต่อไปว่า คนต้องสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี และในฐานะของผู้สนับสนุน “สตาร์ทอัพ” (Start Up) ฝากโจทย์ท้าทายความคิดของนักพัฒนาไว้ว่า จะทำอย่างไรให้คนที่ยังอยู่ “อยู่รอด” ในยุคที่ทักษะจำนวนมากกลายเป็นของล้าสมัย
ขณะที่ ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ อดีตผู้จัดการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ซึ่งปัจจุบันหันมาทำงานด้านการศึกษาในนาม เครือข่ายภาคีเพื่อการศึกษาไทย (TEP) กล่าวว่า วันนี้ประเทศไทยมีปัจจัยเร่งให้ต้องปฏิรูปการศึกษาหลายเรื่อง เช่น “เด็กเกิดใหม่น้อยลง” ส่งผลให้ในอดีตมหาวิทยาลัยมีนักศึกษาเข้าเรียนเฉลี่ยปีละ 1 ล้านคนปัจจุบันเหลือเพียงปีละ 7 แสนคนจนมหาวิทยาลัยหลายแห่งต้องปิดหลักสูตรหรือปิดภาควิชา
จากซ้ายไปขวา>> ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์, เรืองโรจน์ พูนผล, มีชัย วีระไวทยะ
หรือ “ไม่มีพรมแดนในการเรียน” ในอดีตมีเพียงคนจำนวนน้อยเท่านั้นที่จะมีโอกาสได้เรียนในมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก แต่ปัจจุบันมหาวิทยาลัยเหล่านั้นเริ่ม “เปิดสอนหลักสูตรออนไลน์”หลายวิชาสามารถเรียนได้โดยไม่ต้องข้ามน้ำข้ามทะเลไปยังประเทศที่ตั้งของมหาวิทยาลัย รวมถึงบริษัทชั้นนำของโลกบางแห่งก็เปิดหลักสูตรออนไลน์ที่เรียนผ่านแล้วสามารถนำไปใช้ทำงานได้จริง ในอนาคตเด็กไทยอาจไม่สนใจเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยไทยก็ได้ และ “ทิศทางของตลาดแรงงาน” ที่เริ่มหันไปดู “ทักษะการทำงาน” มากกว่าชื่อชั้นของสถาบันการศึกษาที่จบมา
แม้จะดูเป็นเรื่องน่ากังวล แต่ในอีกมุมหนึ่ง ทพ.กฤษดามองว่านี่คือ“โอกาส” ที่โครงสร้างการศึกษาไทยจะได้ “เปลี่ยนแปลง” เสียทีหลังจากที่อยู่กับการ “ติวเพื่อสอบในทุกระดับ” ตั้งแต่ติวอนุบาลเข้าประถม ติวประถมเข้ามัธยม และติวมัธยมเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยมานาน เพราะระบบนี้“ดีกับคนส่วนน้อย แต่ไม่เป็นประโยชน์กับสังคมโดยรวม” สะท้อนจากการสอบวัดผลตามเกณฑ์สากลอย่าง “ปิซา” (Programme foInternational Student Assessment-PISA) เด็กไทยกลุ่มหนึ่งได้คะแนนสูงมาก แต่เมื่อดูคะแนนในภาพรวมทั้งประเทศคือสอบตก
อะไรคือทางออก?...ทพ.กฤษดา กล่าวว่า รูปแบบการศึกษาในประเทศที่เจริญแล้ว “เนื้อหาไม่สำคัญเท่าทักษะ” เพราะเนื้อหาความรู้ “เกือบทุกอย่างหาได้ในอินเตอร์เนต”คนแต่ละคนสามารถเลือกเรียนรู้ได้ตามความสนใจ ดังนั้นบทบาทของระบบการศึกษาจึงหันไปเน้น “พัฒนาบุคลิกภาพคน” ดังตัวอย่าง สิงคโปร์ ที่กำหนดไว้ชัดว่าคนสิงคโปร์จะต้องเป็นแบบไหน ประกอบด้วย
1.รู้จักตนเอง ว่ามีความชอบ-ความถนัดในสิ่งใด เพราะหากไม่เริ่มจากจุดนี้ก่อนย่อมบอกไม่ได้ว่าจะไปเรียนอะไร 2.แสวงหาความรู้เป็น เมื่อแต่ละคนรู้แล้วว่าจะทำอะไร ต่อไปต้องสามารถหาความรู้เรื่องนั้นๆ ได้ไม่ว่าจากโรงเรียน อินเตอร์เนต ชุมชน ฯลฯ 3.ทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ เรื่องนี้ถึงขนาดที่มีเขียนไว้ในหลักสูตรตั้งแต่อนุบาลถึงมัธยม ว่าจะสอนให้คนสิงคโปร์ทำงานเป็นทีม รวมถึงมีทักษะความเป็นผู้นำได้อย่างไร และ 4.เป็นพลเมืองดี หรือการประพฤติตนเป็นคนดีในสังคม แต่ทั้ง 4 ด้านนี้ “ทุกภาคส่วนต้องมีบทบาท” ไม่ใช่แต่สถาบันการศึกษาเท่านั้น
ตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ (National University of Singapore : NUS) ประกาศนโยบาย “ดูแลความรู้ของศิษย์เก่าตลอดชีวิต” (Alumni Lifelong Learning) ให้ผู้ที่เคยเรียน ณ สถาบันการศึกษาแห่งนี้ เมื่อจบไปแล้วสามารถกลับเข้ามาลงเรียนวิชาต่างๆ ในมหาวิทยาลัยได้ “ในราคาพิเศษสำหรับศิษย์เก่าโดยเฉพาะ” เพื่อเปิดโอกาสให้ได้พัฒนาศักยภาพของตนตลอดเวลา และหาผู้เรียนสามารถเก็บสะสมวิชาจนครบตามหลักสูตรในแต่ละคณะ ยังจะได้ปริญญาบัตรไม่ว่าตรีหรือโท ตามหลักสูตรนั้นๆ ด้วย
“ถ้าเด็กนั่งเรียนแต่ในห้อง เด็กจะมีศีลธรรมไหม? เด็กจะรู้ไหมว่าหน้าที่พลเมืองคืออะไร? เด็กจะรู้ไหมว่าต้องเสียสละเพื่อชุมชน? ไม่มีทางรู้เลย เด็กก็ต้องมีกิจกรรมกับชุมชนก็ต้องเป็นโรงเรียนร่วมกับชุมชน พ่อ-แม่จัดได้ส่วนหนึ่งแต่โรงเรียนต้องเล่นบทนี้ ถ้าไม่แก้ตรงนี้โรงเรียนจะล้าสมัยหมดเลย” ทพ.กฤษดา กล่าว
ตัวอย่างในประเทศไทย มีชัยวีระไวทยะ ผู้เคยรณรงค์การใช้ถุงยางอนามัยเพื่อลดปัญหาท้องไม่พร้อมและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์จนประสบผลสำเร็จมาแล้ว ระยะหลังๆ ได้หันมาทำงานด้านการศึกษา โดยก่อตั้ง โรงเรียนมีชัยพัฒนา ที่ อ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์ เล่าว่า รร.มีชัยพัฒนา นอกจากการเรียนตามปกติแล้วยังปลูกฝัง1.การมีอาชีพ เช่น ทำเกษตรได้ ค้าขายเป็น มีทักษะบริหารจัดการเงิน ผ่านการฝึกปฏิบัติจริง กับ 2.เข้าอกเห็นใจผู้ด้อยโอกาส เช่น นักเรียนได้ทดลองใช้ชีวิตบนรถเข็นหรืองดอาหารบางมื้อ เพื่อให้เข้าใจคนพิการหรือคนยากจนท้องยังไม่อิ่ม
“เราเน้นเรื่องการแบ่งปันถ้าเก่งแล้วไม่แบ่งปัน บ้านเมืองก็ไม่ได้ดี และที่สำคัญมากคือเราสอนให้เด็กทำธุรกิจเป็นเพื่อให้อยู่ในชุมชนได้ ไม่ใช่จบการศึกษาแล้วเข้าเมืองหมด นอกจากนี้ยังมีการเตรียมอนาคต เช่นถ้าอยาเป็นพยาบาลทำไมต้องรอให้จบ ม.6? เริ่มที่ม.1 ได้ไหม? ก็เริ่มด้วยการเอาวิชาหลักพวกคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ บูรณาการเข้าไปกับเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ ร่างกาย อาหารการกิน แล้วก็ร่วมกับสถานีอนามัย ให้ได้ฝึก 6 ปีเราฝึกไปตลอด” มีชัย ระบุ
บทสรุปของเรื่องนี้...ไม่ว่าจะมีแนวคิดหรือมีตัวอย่างที่ดีอย่างไรก็แล้วแต่ ท้ายที่สุดแล้วจะขยายตัวไปได้ก็ต้อง “ฝ่าด่าน” สำคัญ 2 เรื่องคือ 1.กฎระเบียบไม่เกื้อหนุน หลายครั้งที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ผู้บริหารโรงเรียนและครู “เข้าใจพื้นที่ และรู้ดีว่าพื้นที่ควรพัฒนาการศึกษาไปในทางใด” แต่ยากที่จะลงมือทำเพราะ “กลัวผิดระเบียบราชการ” ซึ่งอาจได้รับโทษทั้งวินัยและอาญา เนื่องด้วยโครงสร้างระบบราชการไทยยังเป็นแบบ “รวมศูนย์” พื้นที่ต้องทำตามนโยบายและสายการบังคับบัญชาจากส่วนกลางอย่างเคร่งครัด กฎระเบียบมีความยืดหยุ่นน้อย
กับ 2.ทัศนคติของผู้ปกครอง เช่น สถานดูแลเด็กปฐมวัยหรือโรงเรียนอนุบาล ครูหรือผู้บริหารได้รับการอบรมว่า “เด็กเล็กไม่ควรเร่งอัดวิชาการมากๆ แต่เน้นให้เล่นเพื่อสร้างพัฒนาการตามวัย” เรื่องนี้มีงานวิจัยรับรอง แต่พ่อ-แม่ผู้ปกครองจำนวนมาก “ไม่เข้าใจ” กังวลว่าถ้าบุตรหลานของตนไม่สามารถอ่านหนังสือได้มากหรือคิดเลขยากได้ตั้งแต่อายุน้อยๆ “กลัวจะแข่งขันกับเด็กคนอื่นไม่ได้” รวมถึงกระแสแห่ติวกวดวิชาเพื่อสอบในการเรียนทุกระดับ เพื่อคาดหวังที่นั่งในมหาวิทยาลัยดังๆ ปูทางไปสู่บางอาชีพที่ถูกยกเป็น “ชนชั้นนำ” ในสังคมซึ่งหากแก้ 2 ข้อนี้ไม่ได้
การศึกษาไทยคงยากจะเปลี่ยนแปลง...แม้จะรู้และพูดกันมากว่าต้องเปลี่ยนก็ตาม!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี