ประเทศไทยไม่แพ้ที่ใดในโลก...
ปัญหา คือ แม้แต่เรื่องจำนวน “ผู้ต้องขัง” ไทยก็ติดอันดับท็อปเทนของโลก จากการจัดอันดับจำนวนผู้ต้องขัง จากการเก็บข้อมูลของ prisonstudies.org พบว่า ประเทศไทยมีผู้ต้องขังสูงเป็นอันดับ 6 ของโลก อันดับ 3 ของเอเชีย เป็นรองแค่จีนกับอินเดีย ที่มีประชากรมากกว่าเราหลายเท่า และเป็นอันดับ 1 ของอาเซียนเลยทีเดียว
“ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.กิตติพงศ์ กิตยารักษ์” ผู้อำนวยการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย หรือ TIJ ผู้มีประสบการณ์คลุกคลีอยู่ในเส้นทางการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมไทย ฐานะอัยการ และปลัดกระทรวงยุติธรรม ทำการศึกษาอย่างจริงจัง ชี้ให้เห็นว่า การที่ประเทศไทยมีจำนวนผู้ต้องขังอันดับต้นๆ ของโลก ทั้งในแง่จำนวนทั้งหมด (อันดับ 6 ของโลก) และจำนวนผู้ต้องขังต่อจำนวนประชากร (อันดับ 9 ที่จำนวน ผู้ต้องขัง 445 คนต่อประชากร 1 แสนคน โดยการศึกษาของ statista.com) อาจเกิดจากความไม่เอื้ออำนวยของระบบ เพราะมีกฎหมายที่มีโทษทางอาญาค่อนข้างเยอะ แม้กระทั่งการ “ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย” ก็มีโทษสูงสุดคือจำคุก
หากลองพิจารณาในรายละเอียดเรื่องจำนวนผู้ต้องขังในเรือนจำ จะพบว่าเกือบร้อยละ 20.66 เป็นผู้ต้องขังระหว่างพิจารณาคดีหรือ “ระหว่างอุทธรณ์-ฎีกา” และจำนวนราวร้อยละ 70 ที่เป็น “นักโทษเด็ดขาด” นั้น กว่าครึ่งเป็นผู้ที่มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี โดย 70% เป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด
สิ่งหนึ่งที่พบ คือ เมื่อคนถูกจับในคดีอาญา แม้ว่าจะไม่ใช่คดีที่ใช้ความรุนแรง แต่เมื่อเข้าไปอยู่ในเรือนจำราว 5-10 ปี เมื่อออกมาจะมีแนวโน้มที่จะเป็น “อาชญากร” ที่ใช้ความรุนแรง และ 2 ใน 3 จะ “กระทำผิดซ้ำ” และถูกส่งกลับไปยังเรือนจำอีกภายใน 3 ปี บางคนถึงกับกล่าวว่า...
คุกเป็นโรงเรียนสอนอาชญากร!!!
สร้างเครือข่ายอาชญากรรม ไม่ว่าจะเข้าไปด้วยข้อหาอะไร มักจะออกมาด้วยความรู้ด้านอาชญากรรมมากขึ้นเสมอ
เมื่อ “โอบามา” ขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ จึงได้ทำการปฏิรูประบบราชทัณฑ์ โดยให้ผู้ที่กระทำผิดบางประเภทไปทำงานเพื่อสังคมหรือเข้าบำบัด เพื่อให้สามารถกลับตัวเป็นคนดีและกลับเข้าสู่สังคมได้เหมือนคนปกติ เช่น ผู้ต้องคดียาเสพติด ซึ่งในกรณีคล้ายกันนี้ โปรตุเกสนับเป็นประเทศที่นำร่องและกลายเป็นตัวอย่างของความสำเร็จในการที่ใช้ “มาตรการทางปกครอง” ส่งผู้ติดยาเสพติดไปบำบัด แทนการส่งเข้าเรือนจำ
วิธีนี้ นอกจากจะเป็นการลดจำนวน “ความแออัด” ของเรือนจำ ลดงบประมาณที่ใช้เพื่อบริหารเรือนจำมหาศาล เช่น ไทยต้องมีงบประมาณที่ใช้ในกรมราชทัณฑ์กว่า 12,141 ล้านบาทต่อปี แต่ที่สำคัญที่สุดคือ ลดโอกาสที่ความผิดพลาดชั่วไม่กี่นาทีจะเปลี่ยนชีวิตคนเหล่านั้น ให้กลายเป็นอาชญากรที่ร้ายแรงขึ้น จากการเข้าไปใช้ชีวิตในเรือนจำ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้การกระทำผิดอื่นเพิ่มเติม การนำไปสู่วงจรอาชญากรที่สมบูรณ์ การสร้าง “บาดแผล” ในชีวิต จนต้องใช้ชีวิตในทางที่ผิดไปจนสุดทาง หรือถูกตราหน้าจนไร้หนทางที่จะประกอบอาชีพสุจริตเมื่อกลับออกมาสู่สังคม
ระบบยุติธรรมที่ดี คือ ลดอัตราการกระทำผิดให้สังคมอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข แต่วันเวลาผ่านไปเราอาจหลงลืมจุดมุ่งหมายนี้ และกลับไปมุ่งเน้นการลากตัวคนทำผิดมาลงโทษ โดยลืมมองไปว่าแทนที่จะ “หลาบจำ” กลับกลายเป็นสร้างคนผิดมากขึ้นหรือร้ายแรงขึ้น
“ทางเลือก” คือ ระบบอาจแสวงหามาตรการอื่นที่จะลดจำนวนคนในระบบการคุมขังในเรือนจำ ที่การชดเชยการกระทำผิดอย่างเหมาะสม โดยทุกขั้นตอนของระบบยุติธรรม ทั้งตำรวจ อัยการ ศาล หน่วยงานที่ดูแลผู้กระทำผิดและทนายความ ต้องทำงานประสานกันเพื่อ “ธำรงความยุติธรรม” และหาทางออกร่วมกัน มีการบูรณาการในการทำงานมากขึ้น ทั้งยังต้องมีความเชื่อถือในหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องว่าจะปฏิบัติหน้าที่อย่างซื่อตรงต่อวิชาชีพ ควบคู่กับการกำกับดูแลที่มีประสิทธิภาพ
เช่น ในประเทศญี่ปุ่น ผู้ที่จบเนติบัณฑิตจะต้องฝึกงานอีกราว 2 ปี โดยเวียนไปทำงานตามหน้าที่ต่าง ๆ ในระบบยุติธรรมเพื่อให้เข้าใจในการทำงานของแต่ละหน่วยงานมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ หนึ่งในวิธีลดจำนวนคนเข้าสู่เรือนจำ คือ ในบางคดีที่เหมาะสมจะมีการส่งไปคุมประพฤติก่อน หากผลออกมาเป็นที่น่าพึงพอใจก็อาจจะไม่มีการส่งฟ้อง
นอกจากหน่วยงานในระบบยุติธรรมข้างต้น ก็อาจมีตัวแทนประชาชนเข้ามาเพิ่มเป็นปัจจัยในกระบวนการยุติธรรมด้วย ตัวอย่างเช่น สหรัฐอเมริกาจะมีระบบลูกขุนที่เข้ามาช่วยในคดีที่ร้ายแรง ยุโรปมีผู้พิพากษาสมทบ ญี่ปุ่นเริ่มมีการนำประชาชนเข้ามามีส่วนในระบบลูกขุนและผู้พิพากษาสมทบ
ส่วนไทยนั้นได้เริ่มมีการนำผู้พิพากษาสมทบเข้ามาสู่ระบบ ทำให้มีความรู้และความเข้าใจเฉพาะด้านมากขึ้น นอกจากนี้ก็ยังมีองค์กรช่วยเหลือประชาชนต่าง ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง อย่างเช่น “บ้านกาญจนา” ที่ดูแลเยาวชนที่กระทำพลาดผิดไป
แต่หน่วยที่สำคัญที่สุดรายหนึ่งคือ “ชุมชน” ที่ไม่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่เพียงฝ่ายเดียว หากชุมชนมีความเข้มแข็ง ช่วยสอดส่องดูแลและรวมไปถึงการรับผู้หลงผิดกลับสู่สังคม ก็จะสามารถป้องกันผู้หลงผิดตลอดจนช่วยเหลือผู้ที่พลาดพลั้งทำผิดให้สามารถปรับตัวและกลับมาเป็นประชากรที่มีคุณภาพ
ฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่า การที่จะสร้างสังคมที่สงบสุขนั้น ไม่เพียงแต่ต้องปรับปรุงกระบวนการยุติธรรมอย่างเป็นรูปธรรมและต่อเนื่องเท่านั้น แต่ทุกฝ่ายทุกคนสามารถเข้าไปมีส่วนได้ ด้วยการช่วยลดจำนวนผู้กระทำผิดซ้ำ และกระตุ้นให้ผู้ที่ “ก้าวพลาด” สามารถกลับมาเป็นคนดีของสังคมได้ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำได้ทันทีโดยตัวเราเอง เริ่มต้นจากการปรับที่ทัศนคติเรา ช่วยกันดูแล ใส่ใจ ป้องกันอย่าให้คนหลงผิด ในขณะเดียวกันก็ต้องให้กำลังใจ ให้โอกาสให้คนที่ก้าวพลาดเหล่านั้นกลับมาเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพของสังคม ถอดประเทศไทยออกจากลิสต์การมีผู้ต้องขังอันดับต้นๆ ของโลกอย่างจริงจังและยั่งยืน ด้วยการ...
อย่าผลักให้คนผิดพลั้ง ก้าวไปติดอยู่ในมุมมืด!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี