รับรู้กันมานานนับปีแล้วว่า “ถนนเมืองไทยอันตรายเป็นอันดับ 2 ของโลก” การันตีโดย องค์การอนามัยโลก (WHO) ถึงจำนวนอุบัติเหตุ ผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิต รวมถึงข้อมูลที่หน่วยงานของไทยรวบรวมกันเอง ก็ยังยืนยันความน่ากลัวได้เป็นอย่างดี เพราะแทบทุกแหล่งระบุไปในทางเดียวกันว่าในทุกๆ ปีจะมีผู้สังเวยชีวิตให้กับถนนในประเทศไทยหลักหมื่นศพ และ “มอเตอร์ไซค์” หรือจักรยานยนต์ เป็นยานพาหนะที่ประสบอุบัติเหตุค่อนข้างสูง
อาทิ ข้อมูลจาก ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) เปิดเผยเมื่อเดือน เม.ย. 2560 ว่า คนไทยตายเพราะมอเตอร์ไซค์เฉลี่ย 5,500 ศพต่อปี สูงกว่าประเทศใดในโลก นอกจากนี้ในเดือน พ.ค. ปีเดียวกัน ลิบยู เวดราสโก (Liviu Vedrasco) หัวหน้าศูนย์สุขภาพ WHO ประจำประเทศไทย กล่าวว่า ถ้าถนนเมืองไทยไม่มีมอเตอร์ไซค์จะปลอดภัยเท่าถนนในสวิตเซอร์แลนด์
แน่นอนอาจพอจะเข้าใจได้ว่าเพราะคนไทยใช้มอเตอร์ไซค์เป็นพาหนะหลัก กรมการขนส่งทางบก ระบุว่า สถิติรถจดทะเบียนสะสมมาจนถึง ณ สิ้นปี 2560 มีมอเตอร์ไซค์จดทะเบียนกว่า 20 ล้านคัน มากกว่ารถยนต์นั่งส่วนบุคคลและรถบรรทุกส่วนบุคคล (รถเก๋ง-รถกระบะ) ที่มีอยู่ราว 15 ล้านคัน และยอดจดทะเบียนรถใหม่ตลอดปี 2560 ที่ผ่านมา มีมอเตอร์ไซค์ราว 2 ล้านคัน มากกว่ารถยนต์นั่งส่วนบุคคลและรถบรรทุกส่วนบุคคล ที่มีอยู่ราว 9 แสนคัน
ตามมาซึ่งคำถาม “คนไทยมีทักษะในการใช้พาหนะสองล้อมากน้อยเพียงใด?” เพราะในขณะที่เมืองไทยมีโรงเรียนสอนขับรถยนต์เปิดกันทั่วทุกหัวระแหง แต่ “โรงเรียนสอนขี่มอเตอร์ไซค์มีน้อยมาก” ถึงกระนั้น ในมุมของหนุ่มวัย 24 ปีรายหนึ่งที่ขอให้เรียกเขาในชื่อเล่น “จูเนียร์” บอกกับทีมงาน “สกู๊ปแนวหน้า” ว่าตนเองเริ่มหัดขี่มอเตอร์ไซค์ตั้งแต่อายุ 12 ปี โดยมี “พี่ชาย” เป็นผู้สอน “หลักๆ คือสอนการเข้าเกียร์กับการบังคับรถ” และมองว่า “ไม่จำเป็น” ที่จะต้องมีโรงเรียนสอนขี่มอเตอร์ไซค์ เพราะอยู่ที่ “วินัยจราจร” ของผู้ใช้มอเตอร์ไซค์แต่ละคนมากกว่า
“ถ้าจิตสำนึกของคนยังไม่เปลี่ยน ถึงสอนไปก็เป็นเหมือนเดิม ทางที่ดีควรยึดปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดเพื่อความปลอดภัยต่อชีวิตของตนเองและผู้อื่น หากเราขับรถให้ถูกกฎ รู้วิธีการขับขี่จักรยานยนต์อย่างถูกต้องและปลอดภัยควบคู่กันไป จะช่วยลดอุบัติเหตุบนท้องถนน ส่งผลให้ปัญหาการจราจรต่างๆ ที่ตามมาลดน้อยลงอีกด้วย” หนุ่มวัย 24 รายนี้ กล่าว
แต่ในมุมผู้ใช้มอเตอร์ไซค์ที่มีอายุมากขึ้นมาสักหน่อย “ต้อย” หญิงวัย 50 ปี ซึ่งเล่าว่า เริ่มหัดขี่มอเตอร์ไซค์ตั้งแต่อายุ 16 ปี จากทางบ้านที่มีพี่น้องเป็นผู้ชาย แต่ก็เชื่อว่าถ้ามีโรงเรียนสอนขี่มอเตอร์ไซค์ย่อมเป็นผลดีกว่า เนื่องจากเด็กๆ มักจะฝึกฝนการขับขี่ด้วยตนเองจึงทำให้ขาดทักษะจากผู้รู้ ส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุจากการใช้มอเตอร์ไซค์ได้ง่ายและบ่อยครั้ง
“คนไทยติดนิสัยมักง่าย ซึ่งพบได้มากเวลาไปต่างจังหวัด มีทั้ง ย้อนศร ฝ่าไฟแดง ขี่รถกินเลนรถยนต์ จึงไม่แปลกที่จะเกิดเหตุการณ์การสูญเสียเกิดขึ้น ถ้าคนไทยมีจิตสำนึกอีกนิดร่วมกับได้ความรู้จากผู้ที่มีประสบการณ์น่าจะดีกว่านี้” พี่ต้อย ให้ความเห็น
ทางด้าน กมล บูรณพงศ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก ชี้แจงเรื่องนี้ว่า ในการทำใบขับขี่มอเตอร์ไซค์ ทุกวันนี้ก็มีข้อกำหนดให้ต้องรับการอบรมอยู่แล้วเป็นเวลา 5 ชั่วโมง ซึ่งมีการให้ความรู้ทั้งเรื่องจุดบอดของรถยนต์ การบำรุงรักษามอเตอร์ไซค์ รวมถึงกฎจราจรและมารยาทในการขับขี่ อีกทั้งในวันทดสอบก็มีการสอบทั้ง “ภาคทฤษฎี” ที่ต้องทำข้อสอบให้ได้ร้อยละ 90 หรือ 45 ข้อจากคะแนนเต็ม 50 ข้อ และ “ภาคปฏิบัติ” เช่น ทดสอบตาบอดสี การมองเห็นทางกว้าง-ทางลึก ทักษะการบังคับรถ การห้ามล้อ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) ชี้ว่า โดยทั่วไปแล้วคนไทยมักจะหัดขี่มอเตอร์ไซค์โดยมี “คนใกล้ตัว” เป็นผู้สอน เช่น เพื่อน รุ่นพี่ พ่อแม่หรือญาติผู้ใหญ่ และเริ่มหัดกันตั้งแต่ “แรกก้าวเข้าสู่วัยรุ่น” แน่นอนว่าแม้จะทำให้ “ขี่ได้” แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะ “ขี่เป็น” เพราะสิ่งที่บรรดานักบิด “ต้องรู้” ไม่ได้มีเพียงการทรงตัวบังคับพาหนะสองล้อให้วิ่งไปได้เท่านั้น แต่ยังมีเรื่องของ “ทักษะ” ในการขี่อย่างปลอดภัย “ไม่อาจได้จากการสอนกันเองแบบบ้านๆ” แต่ต้องผ่านการฝึกอบรมอย่างเป็นระบบ
“เคยประเมินความเสี่ยง ถามเด็กๆ ว่ารู้ไหมรถใหญ่มีจุดบอดกี่จุดที่คุณไปอยู่ข้างเขาแล้วเขาจะชนคุณ ไม่ใช่ว่าคนขับรถเขาเจตนาแต่เขามองไม่เห็น พบว่าเกือบครึ่งไม่รู้ แต่ในชีวิตจริงเขายังต้องขี่มอเตอร์ไซค์ข้างรถพ่วงหรือรถบัส เขาต้องเติมความรู้พวกนี้ ทั้งเรื่องถนน เรื่องความเสี่ยงในการใช้รถร่วมกัน หรือแม้แต่การที่เขาต้องวิ่งตัดกระแสเพื่อจะไปยังจุดกลับรถ หรือถนนหลายช่องทางที่มอเตอร์ไซค์มองไม่เห็นแล้วไปชนคนข้ามถนน หรือมอเตอร์ไซค์วิ่งมาทางตรงแล้วไปชนรถที่เลี้ยวขวาจะวิ่งเข้าซอย สิ่งที่เขายังไม่ถูกเติมความรู้คือระยะการมองเห็น” นพ.ธนะพงศ์ ระบุ
แต่ปัญหาสำคัญคือ เมื่อจะให้ผู้ที่ใช้มอเตอร์ไซค์กันอยู่มาอบรมทักษะตามที่กล่าวมาข้างต้น โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น หลายคนมักเป็น “น้ำเต็มแก้ว” มองว่าตนเองขี่เป็นแล้วทำไมยังต้องมาอบรมอีก เกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย ซึ่ง ผจก.ศวปถ. กล่าวว่า เรื่องนี้จึงเป็น “ความท้าทาย” ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำอย่างไรจึงจะ “ปรับทัศนคติ” ให้ผู้ใช้มอเตอร์ไซค์ในเมืองไทยเห็นความสำคัญ
“การเรียนรู้มันต้องถูกทำให้เป็นข้อกำหนดของคนที่ถือใบอนุญาตขับขี่ ว่าก่อนที่จะมาสอบใบขับขี่คุณต้องผ่านการเรียนรู้ ผ่านหลักสูตรก่อน และการสอบใบขับขี่ภาครัฐก็ต้องเติมโจทย์เรื่องทักษะ เช่น การเบรก การสามารถระบุได้ว่าความเสี่ยงเมื่อคุณไปอยู่ใกล้รถใหญ่มันมีอะไรบ้าง ระบุได้ไหมมีจุดบอดกี่ตำแหน่ง มันจะทำให้คนที่ได้ใบขับขี่อย่างน้อยๆ ได้เรียนรู้เรื่องพวกนี้
รวมถึงคนที่มาต่อใบขับขี่ด้วย เช่น เรียนรู้ผ่านคลิปวีดีโอหรือผ่านภาพเหตุการณ์ ให้เขารู้ว่ามันเสี่ยงจริงๆ และการเรียนรู้ต้องไม่เสียค่าใช้จ่ายเยอะมาก ถ้าบอกให้ไปเรียนแล้วค่าเรียน 5 พัน 6 พันบาท คงไม่มีใครเรียน เป็นไปได้หรือไม่ที่รัฐจะเข้ามาช่วยสนับสนุนส่วนหนึ่ง เช่น มีคูปองที่สามารถนำไปใช้กับโรงเรียนไหนก็ได้ที่สอนพวกนี้ มันก็จะกระตุ้นให้คนไปเรียนรู้มากขึ้น” นพ.ธนะพงศ์ ฝากทิ้งท้าย
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี