ไม่นานนี้ “แนวหน้า” นำเสนอเรื่องราวของ “ชุมชนบ้านเปร็ดใน” ต.ห้วงน้ำขาว อ.เมือง จ.ตราด ที่พยายามแก้ปัญหาแผ่นดินถูกน้ำทะเลกัดเซาะจมหาย ด้วยการนำภูมิปัญญาชาวบ้านมาผสมผสานกับกระบวนการวิจัย ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)จนได้ป่าชายเลนกลับคืนมาหลังดินค่อยๆ ทับถมหนาขึ้นไม่ไหลลงทะเลอีก(“บ้านเปร็ดใน” แก้กัดเซาะฝั่ง วิชาการผสานภูมิปัญญาท้องถิ่น : หน้า 17 นสพ.แนวหน้า ฉบับวันที่ 25 เม.ย. 2561)
แต่เรื่องราวที่น่าสนใจของชุมชนแห่งนี้ยังไม่จบ นอกจากการแก้ไขปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะชายฝั่งด้วยการฟื้นฟูป่าชายเลนแล้ว ยังพยายาม“จัดหาพลังงานทางเลือก” ให้เพียงพอต่อความต้องการ เพราะด้วยความที่คนในชุมชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำสวนผลไม้ เช่น เงาะโรงเรียน ลำไย ลองกอง มังคุด และทุเรียน ต้องใช้ไฟฟ้าสำหรับปั๊มน้ำไปใช้รดสวนผลไม้ ค่าไฟฟ้าจึงเป็นต้นทุนอย่างหนึ่ง ทำให้เกิดแนวคิดที่จะนำ “พลังงานทางเลือก”มาใช้ เพื่อตอบโจทย์ทั้งความพร้อมของพื้นที่ และยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
อำพร แพทย์ศาสตร์ อดีตนายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ห้วงน้ำขาว กล่าวว่า ปัญหาไฟฟ้าไม่เพียงพอแถมค่าใช้จ่ายแพง เป็นอีกปัญหาสำคัญของชาวบ้านที่นี่ แต่ก็ยอมรับว่าในช่วงแรกๆ ไม่มีความรู้เลยว่าจะทำอย่างไร แต่ต่อมาเมื่อได้ทราบว่ามี “โครงการอบรมพลังงานหมุนเวียนในระดับชุมชน” ที่ทาง สกว. ให้การสนับสนุน จึงไม่ลังเลที่จะเข้าร่วม ซึ่งพบว่าเป็นประโยชน์มาก เพราะได้เปลี่ยนความเข้าใจเดิมๆ ที่คลาดเคลื่อนให้ถูกต้อง
“เคยคิดว่าในเมื่อเรามีเศษไม้ในพื้นที่อยู่แล้วก็น่าจะสามารถนำมาใช้เป็นพลังงานชีวมวลได้ แต่พอทำการศึกษาวิจัยแล้วพบว่าชีวมวลที่มีอาจไม่เพียงพอ ประกอบกับต้นทุนในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวลค่อนข้างสูง อีกทั้งคนในชุมชนยังไม่มั่นใจเรื่องของฝุ่นละอองและเสียง เพราะกังวลว่าอาจส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตรและจะส่งผลให้เกิดมลภาวะขึ้นในชุมชน” อำพร กล่าว
อดีตนายก อบต.ห้วงน้ำขาว เล่าต่อไปว่า การศึกษาความเป็นไปได้ของพลังงานทางเลือกในชุมชน เน้นการใช้กระบวนการสร้างความรู้ความเข้าใจด้านพลังงานทางเลือกภายใต้ความต้องการของชุมชนเป็นหลัก โดยมีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญเข้ามาถ่ายทอดความรู้ให้กับทางผู้นำชุมชนและชาวบ้านที่สนใจเข้าร่วม เริ่มด้วยการลงพื้นที่สำรวจสภาพแวดล้อมทรัพยากรเพื่อประเมินสถานภาพและศักยภาพด้านพลังงานในชุมชน
เก็บข้อมูลพื้นฐาน จัดประชุมแลกเปลี่ยนข้อมูลกับชุมชน ระดมความคิดเห็นเพื่อจัดทำร่างแผนพลังงานทางเลือก และจัดกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจด้านพลังงานทางเลือกให้กับคนในชุมชน จัดทำแผนยุทธศาสตร์พลังงานทางเลือกของชุมชน ประกอบด้วย การจัดอบรมการทำบัญชีพลังงานครัวเรือน เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในกระบวนการจัดเก็บข้อมูลการใช้พลังงานของแต่ละครัวเรือน
การนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ ศึกษาความเป็นไปได้ของโรงไฟฟ้าชีวมวลจากเศษไม้และใบไม้ ศึกษาความเหมาะสมของเทคโนโลยีการจัดการขยะของชุมชน ศึกษาความเป็นไปได้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าจากแผงโซลาร์เซลล์ และการจัดทำแผนพลังงานทางเลือกของชุมชน นอกจากนี้ยังมีการลงพื้นที่ศึกษาดูงานด้านพลังงานทางเลือกที่จังหวัดนครราชสีมาและสระบุรี เพื่อสร้างความมั่นใจและความเข้าใจในการทำงานของแต่ละเทคโนโลยี
รวมถึงจัดอบรมสาธิตการผลิตและติดตั้งเทคโนโลยีพลังงานทางเลือกที่ชุมชนสนใจเลือกทดลองใช้เป็นการนำร่อง ได้แก่ เทคโนโลยีถังหมักก๊าซชีวภาพจากขยะอินทรีย์ขนาด 1 ลูกบาศก์เมตร, เทคโนโลยีการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อให้แสงสว่างทางเดิน และการผลิตเตาก๊าซชีวมวลจากฟืน รวมทั้งจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ชุดโครงการวิจัยการสร้างองค์ความรู้ให้ชุมชนมีภูมิคุ้มกัน ยกระดับขีดความสามารถในการรับมือและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
“ในที่สุดชุมชนตัดสินใจเลือกใช้พลังงานแสงอาทิตย์ มีการทดลองติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ขนาดเล็กเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าสำหรับแสงสว่างทางเดินต้นแบบขึ้น ณ โรงเรียนบ้านเปร็ดใน และที่ศูนย์เรียนรู้ชุมชนบ้านเปร็ดใน ต่อมาชุมชนได้รับทุนสนับสนุนจากหน่วยงานภาคเอกชน จึงติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์สำหรับใช้ในการผลิตประปาหมู่บ้านขึ้นเมื่อปี 2558 ทำให้ปัจจุบันลดต้นทุนการผลิตน้ำประปาจากเดิม 5,000-7,000 บาทต่อเดือนลดลงเหลือ 3,000-4,000 บาทต่อเดือน” อดีตนายก อบต.ห้วงน้ำขาว ระบุ
ขณะที่ ณรงค์ชัย โต้โล้ง ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน กล่าวเสริมว่า การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เพื่อใช้ผลิตน้ำประปาหมู่บ้าน มีติดตั้งทั้งหมด 30 แผง สามารถรองรับการผลิตกระแสไฟฟ้าได้ถึง 9,000 เมกกะวัตต์ (MW) ใช้ปั๊มน้ำจากสระขึ้นมาผลิตประปาหมู่บ้านทำงานเฉพาะในช่วงเวลากลางวัน จากเดิมใช้มอเตอร์ 5 ตัว ในการปั๊มน้ำคิดเป็นค่าไฟฟ้าที่จ่ายให้การไฟฟ้าฯถึงเดือนละกว่า 5,000 บาท
“หลังจากเปลี่ยนมาใช้โซลาร์เซลล์หรือพลังงานแสงอาทิตย์ สามารถลดต้นทุนค่าไฟลงได้ครึ่งหนึ่งหรือร้อยละ 50 ถือว่าได้ผลเป็นรูปธรรมชัดเจน ปัจจุบันทุกครัวเรือนในชุมชนมีน้ำประปาใช้จากในอดีตชุมชนที่นี่ต้องอาศัยน้ำฝนเพื่อใช้บริโภค แต่เพราะเดี๋ยวนี้การบริโภคน้ำฝนเริ่มไม่ปลอดภัย จึงหันมาใช้น้ำประปาหมู่บ้านที่ได้มาตรฐานแทน” ณรงค์ชัย กล่าว
ด้าน มาโนช ผึ้งรั้ง ผู้ใหญ่บ้าน ม.2 บ้านเปร็ดใน กล่าวอย่างภูมิใจว่า หมู่บ้านได้เป็นชุมชนต้นแบบด้วยเกิดจากความร่วมมือกันของชาวชุมชน ผู้นำชุมชน และปราชญ์ชาวบ้าน มีการนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์กับภูมิปัญญาของชุมชนมาประยุกต์ใช้ อีกทั้งบ้านเปร็ดในเป็นชุมชนที่เปิดรับองค์ความรู้ใหม่ๆ เข้ามาอยู่เสมอ เพื่อพัฒนาชุมชน ทำให้วันนี้บ้านเปร็ดในเป็นที่รู้จักของคนทั้งในระดับตำบล จังหวัด ไปจนถึงระดับประเทศ
จากที่เคยเป็นเพียงแค่ชุมชนเล็กๆ ในพื้นที่ป่าชายเลนไม่เป็นที่รู้จัก ปัจจุบันมีหลายภาคส่วนเข้ามาให้การสนับสนุนและศึกษาดูงานอย่างต่อเนื่อง!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี