จีน ชนชาติเก่าแก่ชาติหนึ่งของโลก และเป็น “ต้นธาร” ส่งต่อวัฒนธรรมให้คนหลายเผ่าพันธุ์ทั่วเอเชียคู่กับอินเดียมาช้านาน ทว่าแม้ทั้ง 2 ชาติจะคล้ายกันที่นิยาม “ประเทศใหญ่-ประชากรเยอะ-ประวัติศาสตร์ยาว” เป็นอันดับต้นๆ ของโลก แต่ความแตกต่างคือหากวันนี้อินเดียอยู่ในกลุ่มชาติมหาอำนาจ จีนย่อมต้องเป็นชาติ “อภิมหาอำนาจ” อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะเป็นประเทศเดียวในโลกที่สามารถ “ท้าทาย” อภิมหาอำนาจจากโลกตะวันตก สหรัฐอเมริกา ผู้ขีดเส้นทางให้ชาวโลกเดินมานับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 (ปี 2484-2488)
“ตอนเปิดประเทศในปี 2523 จีดีพี (GDP-ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ) จีนเล็กกว่าอเมริกา 15 เท่า และจีดีพีอินเดียก็ใหญ่กว่าจีน ทุกวันนี้จีดีพีจีน 12 ล้านล้านเหรียญ สหรัฐอเมริกา 19.3 ล้านล้านเหรียญ ส่วนอินเดีย 2 ล้านล้านเหรียญต้นๆ จีดีพีจีนใหญ่กว่าอินเดีย 5 เท่าตัว”
รศ.ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดีสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) กล่าวในงานอภิปรายทางวิชาการ “จีน VS สหรัฐฯ 2018” ซึ่งจัดโดยศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงการเติบโตอย่างรวดเร็วของจีนจนทั้งโลกต้องจับตามอง ซึ่งเกิดจาก 7 ปัจจัย และหลายเรื่องก็เป็นสหรัฐเองที่ทำมาแล้วในยุคสร้างชาติ พร้อมย้ำว่า “ชาติไหนทำตามนี้ได้คือเจริญ” ไม่เฉพาะแต่จีน ประกอบด้วย
1.ระบบขนส่ง ในอดีตยุคบุกเบิกแผ่นดินอเมริกา โดยเฉพาะเมื่อสงครามกลางเมืองรวมชาติ (US Civil War : ปี 2404-2408) จบลง รัฐบาลอเมริกันเร่งสร้าง “ทางรถไฟ” กระจายไปหลายจุดทั่วประเทศ แน่นอน “ที่ไหนที่มีสถานีรถไฟ ที่นั่นก็มีชุมชนเมือง” เมืองทำให้
เกิดการค้าขาย เกิดแหล่งงาน และปัจจุบันจีนก็กำลังระดมสร้างทางรถไฟ ทั้งแบบรถไฟความเร็วสูงและแบบรถไฟธรรมดาเช่นกัน
2.การสื่อสาร สงครามกลางเมืองรวมชาติสหรัฐซึ่งจบลงด้วยรัฐฝ่ายเหนือเป็นฝ่ายชนะรัฐฝ่ายใต้ มีการวิเคราะห์ว่าส่วนหนึ่งเพราะ “ที่ไหนมีทางรถไฟที่นั่นมีเสาโทรเลขตามไปด้วย” ผลคือรัฐฝ่ายเหนือสามารถลำเลียงทหารทางรถไฟ พร้อมๆ กับทราบข่าวสารจากแนวรบจุดต่างๆ นำไปสู่การทำศึกอย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนปัจจุบันจีนมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีการสื่อสารทางคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เนต จนรัฐบาลสหรัฐกังวลมาก
“การลงทุนด้านการสื่อสารจะเป็นความขัดแย้งระหว่างจีนกับสหรัฐนับแต่นี้เป็นต้นไป อย่างตอนนี้ก็กำลังเกิดศึกเซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor) ที่รัฐบาลสหรัฐโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) สั่งห้ามไม่ให้บริษัทที่ผลิตพวกชิพ (Chip) คอมพิวเตอร์เก่งๆ ของสหรัฐ ขายชิพรุ่นดีๆ ให้กับบริษัทของจีน โดยมองว่าจีนกำลังมีพัฒนาการทางอินเตอร์เนต ปัญญาประดิษฐ์ (AI) รวดเร็วเหลือเกิน” อาจารย์สมภพ กล่าว
ต่อมา 3.เศรษฐกิจแบบกลไกตลาดเสรี สหรัฐยึดระบบนี้มาเป็นร้อยปี และจีนก็กำลังทำไม่ต่างกันในปัจจุบัน 4.ระบบการเงิน สหรัฐมี “วอลล์สตรีท” (Wall Street) เป็นตลาดทุนขนาดใหญ่ระดับโลก ทำให้เงินเหรียญดอลลาร์สหรัฐกลายเป็นเงินสกุลหลักของโลก เรื่องนี้ต้องดูต่อไปว่าจีนจะพัฒนาระบบการเงินของตนอย่างไร 5.เทคโนโลยี สหรัฐก็เป็นผู้นำมานาน ขณะที่ “จีนมีเม็ดเงินลงทุนวิจัยและพัฒนาถึงร้อยละ 2.1 ของจีดีพี สูงกว่าไทยที่มีเพียงร้อยละ 0.5 ของจีดีพี” ซึ่งชาติไหนจะเจริญหรือไม่ การเป็นเจ้าของเทคโนโลยีทันสมัยด้านต่างๆ คือปัจจัยสำคัญ
6.เสถียรภาพทางการเมือง ข้อนี้เป็น “ข้อได้เปรียบ” ของจีน ด้วยความที่มีพรรคเดียว และ 7.คุณภาพคน จีนลงทุนด้านการศึกษามาก มีการส่งคนไปเรียนต่อในต่างประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐ ถึงขนาดมีการพูดกันอย่างไม่เป็นทางการว่าเป็นไปได้ที่ทางการสหรัฐอาจจำกัดโควตานักศึกษาจีน เพราะ “คนจีนรุ่นหลังๆ เรียนจบแล้วกลับบ้าน” ไม่ได้อยู่ทำงานในสหรัฐอย่างคนจีนรุ่นก่อน
จากทั้ง 7 ข้อข้างต้น เสถียรภาพทางการเมืองดูจะถูกพูดถึงอยู่ไม่น้อย ด้วยความที่สหรัฐชี้นำชาวโลกให้ “ต้องเป็นประชาธิปไตยเท่านั้น” ต้องเชิดชูเสรีภาพในการแสดงออกและผู้ปกครองต้องมาจากการเลือกตั้ง แต่การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของจีนทั้งที่เป็นรัฐเผด็จการอีกทั้งการเมืองไม่ปรากฏภาพทะเลาะเบาะแว้ง สวนทางกับสหรัฐเองที่เต็มไปด้วยภาพของการประท้วงโต้เถียงกันไปมาทั้งประชาชนและนักการเมือง รวมถึงการตั้งข้อสังเกตถึงพฤติกรรมของประธานาธิบดีบางท่าน “ประชาธิปไตยดีจริงไหม? หรือจะเอาอย่างจีน?” จึงเป็นคำถามที่ดังขึ้นในระยะหลังๆ
ศ.(กิตติคุณ) ดร.ไชยวัฒน์ ค้ำชู อาจารย์ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า “ทั้ง 2 ทางมีข้อดีและข้อเสีย” สหรัฐยึดแนวทางประชาธิปไตย แม้จะดูมีบรรยากาศแตกแยกขัดแย้งในสังคม แต่รัฐบาลถูกวิจารณ์ถูกตรวจสอบได้ ผู้ปกครองไม่อยู่เหนือกฎหมาย ประชาชนได้ระบายความอึดอัดคับข้องใจ และการถกเถียงต่างๆ ก็ยังยึดกรอบสันติวิธี ขณะที่จีนแม้การเมืองมีเสถียรภาพ นโยบายต่างๆ กำหนดมาแล้วทำได้เต็มที่ไม่ต้องเปลี่ยนไปมา แต่ก็ต้องแลกกับการไม่สามารถวิพากษ์วิจารณ์คัดค้านภาครัฐได้
อีกทั้ง “จีนทำได้...ใช่ว่าชาติอื่นจะสำเร็จเหมือนกัน” อาจารย์ไชยวัฒน์ ระบุว่า ถ้าเปรียบเทียบกันทั้งโลก “ประเทศที่เป็นประชาธิปไตย มีแนวโน้มการพัฒนาเศรษฐกิจที่ดีกว่าเผด็จการ” จีนเป็นเพียงจำนวนน้อยที่เป็นเผด็จการแล้วเศรษฐกิจดี แต่ถึงกระนั้นผู้นำจีนต้องมีผลงาน “เศรษฐกิจต้องโตตลอดเวลา” และต้องระวังปัญหาแทรกซ้อนจากการพัฒนา นั่นคือ “ความเหลื่อมล้ำ” อีกด้วย สถานะของรัฐบาลจีนจึงเหมือน “ขี่หลังเสือ” อยู่บนความเสี่ยง หากวันใด “ดำเนินนโยบายผิดพลาด” เสียงเรียกร้องเสรีภาพย่อมดังขึ้น และอาจจบลงด้วยความรุนแรง
“ถ้าความต้องการของประชาชนไม่มีที่ระบายได้อย่างสันติ ความรุนแรงเวลามันปะทุออกมาจะมากกว่าประเทศที่เป็นประชาธิปไตยซึ่งเปิดฝาหม้อเดือดให้ระบายความร้อนเป็นระยะๆ อย่างที่ วินสตัน เชอร์ชิล (Winston Churchill) รัฐบุรุษของอังกฤษ เคยกล่าวว่า ประชาธิปไตยเป็นระบอบที่เลวน้อยที่สุด ก็คือถึงมันเลวแต่อันอื่นเลวกว่า”อาจารย์ไชยวัฒน์ ฝากข้อคิด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี