“ถ้าจะปรับเปลี่ยนระบบการศึกษาไทยให้ดีขึ้น ควรเริ่มต้นอย่างไร?” เป็นคำถามแรกที่ต้องคิดให้ตกเสียก่อนหากจะปฏิรูปการศึกษาไทยอย่างได้ผลไม่หลงทิศผิดทางโดยเฉพาะยุคนี้ที่ทุกคนบนโลกต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่จากความก้าวหน้าของเทคโนโลยี และไทยเป็นประเทศหนึ่งที่ องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ไอแอลโอ-ILO) ทำนายไว้เมื่อปี 2559 ว่า “แรงงานกว่าครึ่ง หรือร้อยละ 56 เสี่ยงตกงาน” เพราะถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักรอัตโนมัติ (ออโตเมชั่น-Automation) และปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ-AI) ในอนาคตอันใกล้
ที่เวที การประชุมภาคีเพื่อการศึกษาไทย 2561 (Thailand Education Partnership Forum 2018 : TEP Forum 2018) เมื่อเร็วๆ นี้ ณ อาคารสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส(Thai PBS) ซึ่งรวมเอาผู้สนใจประเด็นการศึกษาจากทุกภาคส่วนมาหารือร่วมกันผลสรุปคือต้องมุ่งไปที่ 7 กลุ่ม ประกอบด้วย 1.เด็กปฐมวัย ใส่ใจพัฒนาทักษะสมอง(Executive Functions) เน้นเรียนรู้ผ่านการเล่น (Play-Based Learning) ไม่ใช่เร่งเขียนอ่าน พัฒนาบุคลากรด้านการพัฒนาเด็กปฐมวัยให้มีคุณภาพและจำนวนเพียงพอ พร้อมกระจายอำนาจให้แก่ท้องถิ่นเป็นเจ้าภาพหลักในพื้นที่
2.นักเรียน ต้องทำให้สามารถค้นพบศักยภาพและเป้าหมายตนเองผ่านการทำกิจกรรม ร่วมมือกับกลุ่มสตาร์ทอัพในการใช้เทคโนโลยีช่วยเด็กค้นพบตนเอง และสร้างเครือข่ายครูแนะแนว 3.ครู เปลี่ยนครูให้เป็นผู้ค้นหาและส่งเสริมศักยภาพของเด็ก ยกระดับระบบการผลิตครู เน้นการร่วมมือแบบภาคีเครือข่ายและใช้ระบบ HR สมัยใหม่มาสนับสนุนการพัฒนาครู นอกจากนี้ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ควรปรับมาตรฐานคุณวุฒิอุดมศึกษาด้านครุศาสตร์ให้เน้นวิชาชีพ และร่วมกับคุรุสภาปรับมาตรฐานวิชาชีพให้อิงสมรรถนะ
4.โรงเรียน เปลี่ยนโรงเรียนให้เป็นที่สร้างแรงบันดาลใจและการเรียนรู้ ขยายและหนุนเสริมโรงเรียนนวัตกรรมซึ่งเป็นโรงเรียนรูปแบบใหม่ให้เป็นฐานแห่งการเรียนรู้และเป็นกระแสหลัก “รัฐต้องให้อิสระการบริหารจัดการโรงเรียนมากขึ้น” เพราะความอิสระของโรงเรียนไม่ได้ทำให้เกิดปัญหาแต่สร้างความก้าวหน้า 5.ผู้ปกครอง เนื่องจากพ่อ-แม่มีบทบาทในการยกระดับการเรียนรู้ของเด็กมากถึงร้อยละ 40 จึงต้องมีแนวทางให้ความรู้กับผู้ปกครองเพื่อรู้จักบทบาท วิธีการเลี้ยงลูก การพัฒนาที่เหมาะสมตามศักยภาพ
6.พื้นที่ เปลี่ยนการศึกษาให้เชื่อมโยงกับบริบทพื้นที่ หาเจ้าภาพหลักช่วยสนับสนุนการทำงานในพื้นที่ โดยหลายพื้นที่ที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนา พบว่าปัจจัยสำคัญคือผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) นั้นๆ เข้าใจและให้ความสำคัญ และ 7.พื้นที่นวัตกรรม เปลี่ยนเขตพื้นที่การศึกษาให้เอื้อต่อการสร้างนวัตกรรม ปรับระบบและการบริหารในเขตพื้นที่ สนับสนุนให้เกิดการจัดตั้งเขตพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา และร่วมกันพัฒนาที่โรงเรียนเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งพื้นที่ ซึ่งขณะนี้ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) กำลังดำเนินการ
บทสรุปคงเป็นอย่างที่อดีตนายกรัฐมนตรี อานันท์ ปันยารชุน กล่าวไว้ในปาฐกถาของงานนี้ว่า “การศึกษาไม่ใช่ของรัฐ แต่เป็นของทุกคน” ถ้าจะปฏิรูปการศึกษาคนไทยต้องปรับแนวคิดใหม่ ต้องรู้บทบาทหน้าที่ตนเอง หากไม่ปรับเปลี่ยนท้ายที่สุดต่อให้มีแผนงาน มีพิมพ์เขียวที่ดีอย่างไรก็ไปไม่รอด!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี