“หมดสิ้นปัญญาของชาวนาบ้านนอก ร่อนเร่เข้ามาเป็นจับกังในบางกอก สูญสิ้นราคาพอแก่ชราหัวหงอกหาทางออกสุดท้าย ด้วยสุราเมรัย”, “กินเหล้าเข้าไปยิ่งเลวร้ายซ้ำเก่า หาเงินมาได้ก็เอาไปกินเหล้า มันกลุ้มก็ยิ่งกินยิ่งกินก็ยิ่งเมา ร่างกายก็ปวดร้าว โรคร้ายก็คุกคาม”..บทเพลง “ลุงขี้เมา” ของวงคาราบาว สะท้อนชีวิต “รากหญ้า” ผู้คนระดับล่างของสังคม อพยพหนีความยากจนจากชนบทเข้ามา “ขายแรงงาน” ในเมืองหลวง “ดื่มน้ำเมา” พอให้“หายกลุ้ม” ลืมปัญหาไปวันๆ หนึ่งแต่แล้วยิ่งกลายเป็นทำร้ายตนเอง และจบด้วยการนอนเสียชีวิตอยู่ใต้สะพานลอย
ซึ่งเชื่อว่าหลายคนคง “ตำหนิ” ลุงขี้เมาในเพลงว่า“ก็ทำตัวเองแล้วจะโทษใคร?” คิดสั้น เอาแต่ความสุขเฉพาะหน้า ไม่รู้จักเก็บออม ไม่หาความรู้ ไม่หาอาชีพเสริมฯลฯ เฉกเช่นอีกหลายปัญหาในสังคมที่มักถูกตีความให้เป็น “เรื่องดี-ชั่วส่วนบุคคล” ต้องเน้นไปที่การแก้กฎหมาย “ควบคุมประชากรด้อยคุณภาพ” เหล่านี้ให้หนักหน่วงยิ่งขึ้น คำถามคือ “สิ่งที่กำลังคิดนั้นถูกจริงไหม?” คนในสังคมมองอะไรง่ายไปหรือเปล่า?
ดังเรื่องเล่าของ ดร.ธนิต โตอดิเทพย์ ประธานหลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาไทยศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ในงานประชุมวิชาการ “ชีวิตเสี่ยงพนัน..จะป้องกันเยาวชนอย่างไร?” จากผลการศึกษาหัวข้อ “การพนัน (บอล) ในชีวิตประจำวันของแรงงานภาคอุตสาหกรรม” ที่ใช้วิธีเข้าไป “คลุกคลี” ใช้ชีวิตอยู่กับผู้ใช้แรงงานจริงๆ ในพื้นที่ จ.ชลบุรี และพบว่าการเล่นพนันเป็นเพียง “ยอดภูเขาน้ำแข็ง” ของปัญหา “ความเหลื่อมล้ำ”ที่ฝังรากลึกมานาน โดยข้อค้นพบคือ
1.ประชาชนขาดพื้นที่สาธารณะ นโยบายการพัฒนาของภาครัฐมุ่งเน้นตอบสนองอุตสาหกรรมเป็นหลัก พื้นที่ที่ผู้คนเคยได้ใช้รวมตัวทำกิจกรรม เช่น ลานกีฬา วัดถูกย้ายออกไปหมด 2.ประชากรแฝงถูกละเลยในฐานะมนุษย์ที่เท่าเทียม แรงงานอพยพจากจังหวัดอื่นๆ ผู้บริหารท้องถิ่นมักมองว่าสร้างปัญหาให้คนในพื้นที่ เช่น เข้ามาแย่งใช้สาธารณูปโภคต่างๆ 3.ความกดดันจากสภาพการจ้างงาน แรงงานรับค่าแรงขั้นต่ำเป็นรายวัน ซึ่งมักจะไม่เพียงพอกับรายจ่าย เช่น ค่าเช่าห้องพัก ส่งเงินกลับไปบ้านเกิด กดดันให้ต้องทำงานล่วงเวลา (โอที) เพื่อให้รายได้ไม่ขาดมือ
“แรงงานเหล่านี้ไม่มีเวลาพักผ่อน ชนชั้นกลางพักผ่อนอาจจะขับรถไปเที่ยวทะเล ไปดูภูเขา หรือถ้ามีเงินมากๆ ก็อาจไปท่องเที่ยวต่างประเทศบ้างก็ได้ มีเวลามากขึ้น แต่แรงงานเหล่านี้ไม่สามารถทำได้ การหยุดงานบางทีก็หยุดไม่ได้” อาจารย์ธนิต กล่าว
นักวิชาการผู้นี้ เล่าต่อไปว่า เมื่อเก็บข้อมูลการเล่นพนันของชนชั้นแรงงาน ที่ไม่ใช่เพียงพนันผลฟุตบอลพบแรงจูงใจ 1.เชื่อว่าการพนันคือการออมเงินอย่างหนึ่งโดยเฉพาะการเล่นหวย ไม่ว่าหวยใต้ดินหรือสลากกินแบ่งรัฐบาล ผู้ใช้แรงงานมองว่าไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายในการแทงพนันมากนัก แต่หากโชคดีถูกหวยขึ้นมาครั้งหนึ่งผลตอบแทนที่ได้จะค่อนข้างสูง 2.มองว่าการพนันคือการแสวงหารายได้ระยะสั้น เมื่อเริ่มรู้ตัวว่าเล่นได้ก็จะหยุด แล้วนำเงินที่ได้จากการพนันไปรับประทานอาหารบ้าง ไปซื้อข้าวของที่อยากได้บ้าง
3.เห็นว่าการพนันคือพื้นที่ปลดปล่อยตนเอง จากความบีบคั้นกดดันของสังคมในระบบอุตสาหกรรม เพราะไม่มีพื้นที่อื่นๆ ให้ผู้ใช้แรงงานไปทำกิจกรรมผ่อนคลายความเครียด สุดท้าย “ไม่เล่นพนันก็ดื่มน้ำเมา” โดยเมื่อเลิกงาน ภาพที่พบได้ทั่วไปคือผู้ใช้แรงงานหลายคนมักจะดื่มเบียร์สัก 1-2 ขวดแล้วค่อยกลับบ้าน รวมถึงมีการรวมกลุ่มของคนที่มีกิจกรรมดังกล่าวเหมือนกัน เพื่อพูดคุยไต่ถามสารทุกข์สุขดิบในชีวิต
“แรงงานเขาก็เคยถามผมนะ..อาจารย์! พวกเศรษฐีเขาเล่นไก่ตีไก่ (ไก่ชน) ทีละ 10-20 ล้าน (บาท) หรือพวกคนรวยๆ ไปแทงพนันม้า ทำไมเวลาเราเล่นพนันบอลเล่นหวย ถึงมองว่ามันร้ายแรงจังเลย?..เขาสร้างพื้นที่สาธารณะตรงนี้ขึ้นมา เพื่อทดแทนบางอย่างที่มันขาดหายไปในชีวิตส่วนตัวของเขา รายได้ก็แทบไม่พอค่าใช้จ่ายไม่มีช่องทางเรียกร้องความเป็นธรรม ไม่มีสิทธิ์มีเสียงในที่ที่เขาใช้ชีวิตอยู่ ก็เพราะเป็นประชากรแฝง จะไปเลือกตั้งหรือเสนอนโยบายได้อย่างไร ก็ปราศจากความช่วยเหลือจากรัฐท้องถิ่น” อาจารย์ธนิต ระบุ
จากเรื่องเล่าข้างต้น จะเด็จ เชาวน์วิไล ผู้อำนวยการมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล กล่าวไปในทางเดียวกันว่า จากประสบการณ์ทำงานชวนคน “ลด-ละ-เลิกเหล้า” มานับสิบปีพบว่าไม่อาจพุ่งไปที่เรื่องดื่มเหล้าอย่างเดียว ต้องไปสอนให้แรงงานร่วมกลุ่ม รู้จักยื่นข้อเรียกร้องต่อรองมีพื้นที่ทำกิจกรรมสร้างสรรค์ “นี่คือทางออกที่ถูกต้อง” ผู้ที่ไม่เข้าใจก็มักจะไปแก้แต่พฤติกรรมส่วนบุคคล หรือไปเชื่อเรื่องการแก้กฎหมาย ทั้งที่ประชาชนไม่มีอำนาจบังคับใช้กฎหมาย ดังนั้น การแก้ปัญหาสังคม “เข้าถึง-เข้าใจผู้อยู่ในปัญหา” คือสิ่งสำคัญที่ต้องทำ
“ผมอยากจะชวนท้าทาย อย่าคิดว่าตัวเองเป็นคนดีอย่างเดียว ต้องคิดว่าคนที่ได้รับผลกระทบเขาคือคนที่ต้องการเรียนรู้และเติบโตไปด้วยกัน แลกเปลี่ยนพูดคุยแล้วรวมกลุ่มพึ่งพากัน ผมเชื่อว่ามันเป็นทางออกได้ระยะยาว นโยบายการพนันมันต้องถูกคิดขึ้นมาจากเรียนรู้เติบโตไปพร้อมกับคนเล่นการพนัน มันถึงจะเป็นนโยบายที่ถูกต้อง แต่ถ้านโยบายมาจากคนที่ไม่เข้าใจคนเล่นการพนัน แล้วยังมองคนเล่นการพนันเป็นคนไม่ดี ท่าทางจะเป็นนโยบายที่ล่องลอย แล้วจะไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย” ผอ.มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ฝากข้อคิด
บทสรุปของเรื่องนี้ ดูจะคล้ายกับอีกท่อนของบทเพลงลุงขี้เมา ที่ว่า “มาเป็นจับกังที่แบกหามวันยังค่ำ เหน็ดเหนื่อยแทบตายได้แต่ค่าแรงต่ำต่ำ แกเป็นคนจน ที่เสียเปรียบเป็นประจำ กล้ำกลืนความชอกช้ำ ถ้าไม่ทำก็อดกิน” เพราะได้เรียนหนังสือไม่สูง ฐานะยากจนแต่มีครอบครัวต้องดูแลจึงต้องทำงานหนักแลกค่าจ้างน้อยนิดแถมภาครัฐยังละเลยการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนเล็กคนน้อยมุ่งตอบสนองแต่กลุ่มทุนขนาดใหญ่เป็นหลักมาทุกยุคสมัย“รัฐบาลอวดตัวเลขเศรษฐกิจพุ่ง แต่ผู้คนระดับฐานรากร้องระงม” ความเป็นธรรมในฐานะ “คนเท่ากัน” ไม่เคยเกิด
แรงงานรากหญ้าเมืองไทยจึง “มืดมน” อยู่อย่างไร้อนาคต คลายเครียดไปวันๆ ด้วยอบายมุข รอวันตายให้พ้นๆ กรรมไปก็เท่านั้น!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี