สถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 ได้จัดกิจกรรมสักการะพระธาตุและวัดสำคัญในจังหวัดภาคเหนือ โดยมีพระธรรมโพธิวงศ์ (วีรยุทธ์ วีรยุทฺโธ) เจ้าอาวาสวัดไทยพุทธคยา หัวหน้าพระธรรมทูต สายประเทศอินเดีย-เนปาล, พระธรรมวรนายก ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา, พระเมธีวรญาณ หรือท่านเจ้าคุณสายเพชร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤฏ์ (ท่าพระจันทร์ กทม.) นายชัช ชลวร ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ประธานสถาบันโพธิคยาฯ นายอภัย จันทนจุลกะ รองประธานสถาบันโพธิคยาฯ นายสุภชัย วีระภุชงค์ เลขาธิการสถาบันโพธิคยาฯ นายเกษม มูลจันทร์ รองเลขาธิการสถาบันฯ นอกจากนี้ ยังมีผู้ร่วมคณะอีกหลายท่าน อาทิ พล.อ.ยศนันท์ หร่ายเจริญ รอง ผบ.ทสส. และ พล.อ.วิชิต ยาทิพย์ ประธานสมาคมมิตรภาพไทย พร้อมสมาชิกสถาบันโพธิคยาวิชชาลัยฯ ร่วมเดินทางด้วยจำนวนมาก
กิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้น 19-24 พ.ค.61 โดยเริ่มต้นขึ้นที่วัดพระพุทธบาท จ.สระบุรี เวลา 08.00 น.ของวันที่ 19 พ.ค.61 ซึ่งเป็นจุดแรกของการเริ่มกิจกรรม โดยพระธรรมโพธิวงศ์ ได้นำสมาชิกสถาบันโพธิคยาฯ กราบสักการะพระบาท ปลูกต้นโพธิ์ 1 ต้น พร้อมกับมอบของที่ระลึกและเวชภัณฑ์แก่นายบัณฑิตย์ เทวีทิวารักษ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี
สำหรับ "วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร" ตั้งอยู่ที่อำเภอพระพุทธบาท จ.สระบุรี ตามพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยากล่าวว่า มีพระภิกษุไทยคณะหนึ่ง เดินทางไปยังลังกาทวีป เพื่อนมัสการรอยพระพุทธบาท พระสงฆ์ลังกากล่าวว่า ประเทศไทยก็มีรอยพระพุทธบาทอยู่แล้วที่เขาสุวรรณบรรพต จึงได้นำความกราบทูลสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมให้ทรงทราบ และได้สืบหาจนพบรอยพระพุทธบาท เพื่อเป็นที่สักการบูชา เป็นศูนย์รวมแห่งพลังศรัทธาอันยิ่งใหญ่ พระพุทธบาทสระบุรีเป็นพระอารามหลวง ที่พระมหากษัตริย์แทบทุกพระองค์ทรงทำนุบำรุงและเสด็จไปนมัสการตลอดมา ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาจนถึงรัตนโกสินทร์
จากนั้นคณะฯ ได้เดินทางต่อไปสักการะพระพุทธชินราช ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรวิหาร จ.พิษณุโลก พร้อมกับมอบหน่อต้นศรีมหาโพธิ์ 1 ต้น เพื่อนำไปปลูกที่วิทยาลัยสงฆ์
สำหรับ "วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร" หรือชื่อที่เรียกกันทั่วไปว่า "วัดใหญ่" ตั้งอยู่ที่ ถนนพุทธบูชา ริมฝั่งแม่น้ำน่านด้านทิศตะวันออก ตรงข้ามกับศาลากลางจังหวัดพิษณุโลก เป็นพระอารามหลวง ชั้นเอก ชนิดวรมหาวิหาร เป็นที่รู้จักโดยทั่วไปในฐานะสถานที่ประดิษฐานพระพุทธชินราช พระพุทธรูปที่ได้รับการยกย่องว่าสวยงามที่สุดในประเทศไทย
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร เป็นวัดที่มีประวัติยาวนานมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย มีสถาปัตยกรรม ศิลปกรรม และประติมากรรมที่งดงามยิ่ง ถือได้ว่าเป็นมรดกทางศิลปวัฒนธรรมอันล้ำค่าของเมืองพิษณุโลก
ต่อมาเวลา 18.30 น.คณะฯ เดินทางต่อไปถึง จ.แพร่ เข้ากราบสักการะพระธาตุช่อแฮ และมอบหน่อต้นศรีมหาโพธิ์ 1 ต้น เพื่อนำไปปลูกที่วิทยาลัยสงฆ์
สำหรับ "วัดพระธาตุช่อแฮ พระอารามหลวง" เป็นวัดศักดิ์สิทธิ์เก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองจังหวัดแพร่ และเป็นวัดพระธาตุประจำปีเกิดของผู้ที่เกิดปีขาล ตั้งอยู่เลขที่ 1 หมู่ที่ 11 ถนนช่อแฮ ต.ช่อแฮ อ.เมืองแพร่ จ.แพร่ บุคคลใดที่มาเที่ยว จ.แพร่แล้วจะต้องมานมัสการพระธาตุช่อแฮ เพื่อเป็นสิริมงคลกับตนเอง จนมีคำกล่าวว่า ถ้ามาเที่ยวแพร่ แต่ไม่ได้มานมัสการพระธาตุช่อแฮเหมือนไม่ได้มา จ.แพร่
วันที่ 20 พ.ค.61 ซึ่งเป็นวันที่ 2 ของกิจกรรม เวลา 06.30 น. สมาชิกสถาบันโพธิคยาฯ ได้ร่วมกันทำบุญตักบาตรที่บริเวณตลาดตั้งจิตนุสรณ์ โดยมีคุณวินัย วีระภุชงค์ ประธานกลุ่มไทยนครพัฒนา บริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายยาเวชภัณฑ์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ พร้อมภริยา ได้เดินทางมาร่วมตักบาตรกับคณะด้วย
สำหรับ "ตลาดตั้งจิตนุสรณ์" เป็นตลาดเช้าจำหน่ายอาหารพื้นบ้านของชาวน่าน โดยผู้คนชาวน่านจะแวะมาจับจ่ายซื้อของยามเช้าและมีตักบาตรหน้าตลาดตั้งจิตนุสรณ์ ซึ่งเป็นวิถีชีวิตของคนน่าน ซึ่งตลาดตั้งจิตนุสรณ์ได้ปรับปรุงพื้นที่ใหม่ เมื่อ พ.ศ. 2518 สินค้าที่จำหน่ายจะเป็นของสด ของแห้ง อาทิ ผัก ผลไม้ กับข้าว ร้านอาหาร เช่นโจ๊ก ไข่กะทะ ไส้อั่ว ปาท่องโก๋ กาแฟ นักท่องเที่ยวที่มาตลาดนี้ในตอนเช้านอกจากจะได้ทำบุญตักบาตรแล้วยังได้สัมผัสวิถีชุมชนอันเรีบยง่ายแบบคนเมืองน่านอีกด้วย
จากนั้นคณะฯ ได้ตระเวนกราบสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในจังหวัดน่าน อาทิ พระธาตุเขาน้อยและพระพุทธมหาอุตมงคลนันทบุรีศรีน่าน, กราบสักการะพระธาตุพญาภู, วัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร และร่วมกันห่มผ้าพระบรมธุาตุแช่แห้ง ที่วัดพระธาตุแช่แห้ง พระอารามหลวง ไหว้พระเจ้าอุ่นเมือง ตลอดจนร่วมพิธีสืบชะตาในพระวิหารหลวง ปลูกหน่อต้นศรีมหาโพธิ์ เป็นต้น
สำหรับ "วัดพระธาตุแช่แห้ง" ตั้งอยู่ที่หมู่ 3 บ้านหนองเต่า ตำบลม่วงตี๊ด อำเภอภูเพียง จังหวัดน่าน เดิมเป็นวัดราษฎร์ ปัจจุบันเป็นพระอารามหลวง ส่วน "พระธาตุแช่แห้ง" เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองน่าน ตามคติความเชื่อเรื่องการไหว้ประประจำปีเกิดของชาวล้านนา พระธาตุแช่แห้งเป็นพระธาตุประจำคนเกิดปีเถาะ(ปีกระต่าย)
ส่วนคำว่า "แช่แห้ง" เป็นคำที่นักปราชญ์ยกย่องให้เป็นมงคลนามยิ่ง เป็นประหนึ่งกุญแจที่จะไขปริศนาธรรมทั้งมวลจนดิ่งลึกเข้าสู่แดนสุญญตา คือความว่างจากตัวตน อันเป็นสุดยอดของอมฤตธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า "แช่แห้ง" จึงมีความหมายโดยนัยว่า ยอดคนหรือมหาบุรุษเท่านั้นที่จะทำตัวให้แห้งอยู่ในสภาวะแห่งความเปียกปอนของอวิชชา ความมืดบอด แห่งสรรพกิเลศตัณหาต่างๆ ที่มากมายยิ่งกว่าสายน้ำและมหาสมุทรทั้งหลายในโลกรวมกัน มนุษย์จะสามารถมีความสุขท่ามกลางทะเลแห่งความทุกข์ยากอันหมายถึงมหาวัฏฏสงสารได้อย่างไร
ด้วยปริศนาธรรมแห่งคำว่า "แช่แห้ง" จึงยุติอยู่ที่ "อริยสัจ 4 ประการ" เพราะคำว่า แช่ หมายถึง การเปียกปอน การดิ่งจมลงในทะเลแห่ง วัฏสงสาร หมายถึงต้นเหตุแห่งทุกข์ มี 2 ประการคือ ทุกข์ และสมุหทัย คำว่า แห้ง หมายถึงการหยุดนิ่งและสิ้นสุดแห่งอาสวกิเลศทั้งปวง มี 2 ประการ คือ นิโรธหรือนิพพา และ อริยมรรค อันมีองค์ 8 ประการ คือ เส้นทางที่พระตถาคต ชี้นำให้พุทธศาสนิกทั้งมวล เดินตามรอยแห่งพุทธองค์ จึงสรุปได้ในที่สุดว่า คำ "แช่แห้ง" จึงหมายถึง "การดับทุกข์ได้โดยสิ้นเชิง"
วันที่ 21 พ.ค.61 เวลา 10.00 น. คณะฯ เดินทางไปกราบสักการะพระมหาเจดีย์พุทธคยาจำลอง ณ วัดจองคำ พระอารามหลวง อ.งาว จ.ลำปาง ซึ่งเป็นการจำลองมหาเจดีย์พุทธคยาของอินเดีย มาไว้ที่ อ.งาว
จากนั้นได้เดินทางต่อไปยังวัดพระศรีโคมคำ หรือ วัดพระเจ้าตนหลวง พระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ สังกัดมหานิกาย ต.เวียง อ.เมืองพะเยา จ.พะเยา ภายในวิหารประดิษฐานพระเจ้าตนหลวงเป็นพระประธาน สร้างขึ้นในรัชสมัยของพญายอดเชียงราย กษัตริย์ลำดับที่ 10 แห่งราชวงศ์มังราย
จากนั้นเวลา 16.30 น.เดินทางถึงวัดพระแก้ว อ.เมือง จ.เชียงราย เพื่อกราบสักการะพระหยกเชียงราย และพระเจ้าล้านทองในพระวิหาร โดยพระธรรมราชานุวัตร เจ้าคณะภาค 6 และเจ้าอาวาสวัดพระแก้ว พร้อมคณะสงฆ์ และผู้อำนวยการสำนักพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงรายและเจ้าหน้าที่ให้การต้อนรับ
สำหรับประวัติวัดพระแก้ว แต่เดิมชื่อวัดป่าเยี้ยะ (ป่าไผ่) เมื่อ พ.ศ. 1977 ได้เกิดฟ้าผ่าพระเจดีย์ที่ประดิษฐานอยู่ในวัดจึงได้พบพระแก้วมรกต ซึ่งปัจจุบันประดิษฐาน ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระบรมมหาราชวัง ชาวเมืองเชียงราย จึงได้เรียกชื่อวัดนี้ว่า "วัดพระแก้ว" จนกระทั่งปัจจุบัน
วันนี้ (22 พ.ค.61) เวลา 10.00 น. คณะทั้งหมดได้เดินทางกราบสักการะพระธาตุจอมกิตติ ซึ่งตั้งอยู่บนยอดดอยน้อย อ.เชียงแสน จ.เชียงราย โดยเมื่อคราวพระพุทธโฆษาจารย์ได้นำพระพุทธศาสนามาเผยแพร่ในเชียงแสน พร้อมกับได้อัญเชิญพระบรมธาตุของพระพุทธเจ้ามาด้วยจำนวนถึง 16 พระองค์ เป็นพระบรมอัฐิธาตุส่วนพระนลาต (หน้าผาก) มีหลายขนาด พระเจ้าพังคราชจึงได้แบ่งพระบรมธาตุขนาดใหญ่ ขนาดกลาง 2 องค์ และขนาดเล็กให้กับพระยาเรือนแก้ว (เจ้าเมืองเชียงราย) ซึ่งได้นำไปประดิษฐานไว้ในพระเจดีย์ในเมืองเชียงราย
ต่อมาเมื่อวันพุธที่ 16 พ.ค.2550 เวลา 15.57 น. ได้เกิดแผ่นดินไหววัดขนาดได้ 5.8 มีศูนย์กลางบริเวณชายแดนไทย-ลาว ห่างจากจังหวัดเชียงราย 57 กิโลเมตร ส่งผลให้ยอดฉัตรพระธาตุจอมกิตติ หักโค่นลงมาได้รับความเสียหาย ทางวัดได้นำไปเก็บรักษาไว้ ณ พิพิธภัณฑ์เชียงแสน สิ่งของที่บรรจุในยอดปลีองค์พระธาตุ ซึ่งมีอัญมณี 9 ชนิด ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้พระราชทานบรรจุในยอดฉัตรเพื่อบูชาพระบรมสารีริกธาตุ (พระเกศาธาตุ) ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งพบแล้ว 7 อย่าง สูญหายไป 2 อย่าง
ต่อมา สำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากรได้ซ่อมแซมฉัตรจากของเดิมให้มีความสมบูรณ์และแข็งแรงมากขึ้น รวมทั้งได้เปลี่ยนก้านและแกนฉัตรเป็นสแตนเลส จากเดิมที่เป็นเหล็ก ซึ่งผุกร่อนเป็นสนิม ส่วนตัวฉัตรนั้น ช่างได้ทำให้เข้ารูปเดิม และเปลี่ยนวิธีห่อหุ้มทองคำ 99 เปอร์เซ็นต์ จากวิธีเปียกทองโบราณ มาใช้เทคโนโลยีใหม่วิธีฟอร์มทอง โดยใช้ไฟฟ้าเป็นตัวหล่อและหุ้ม ซึ่งทำให้ทองคำอยู่ติดคงทน และสีไม่หมอง
ส่วนยอดฉัตรที่ประดับด้วยอัญมณีนพเก้า และมีอัญมณีหลุดหายไป 2 ชนิดนั้น ได้มีประชาชนบริจาคโกเมนและนิล ซึ่งช่างได้นำขึ้นไปประดับไว้ครบทั้ง 9 ชนิดแล้ว ส่วนองค์พระธาตุ กรมศิลปากรได้ดำเนินการบูรณะเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้งในส่วนโครงสร้างและฐานราก เสริมอิฐซ่อมแซมส่วนที่เสียหายและเสริมความมั่นคงรอยแตกร้าวด้วยกาววิทยาศาสตร์ และอัดฉีดน้ำปูนเข้าไป
ในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา 09.00 น. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปยังวัดพระธาตุจอมกิตติ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ทรงประกอบพิธียกฉัตรประดับยอดพระธาตุกลับคืนดังเดิม
จากนั้น คณะฯ ได้เดินทางไปวัดพระธาตุเจดีย์ อ.เชียงแสน ซึ่งเป็นวัดที่เก่าแก่ของเมืองเชียงแสน สร้างโดยพระเจ้าแสนภู พระราชนัดดาของพ่อขุนเม็งรายมหาราช ปฐมกษัตริย์ของอาณาจักรล้านนาไท เมื่อ พ.ศ.1887 หลังจากนั้นพระเจ้าแสนภูได้เสด็จไปครองเมืองเชียงใหม่แทนพระราชบิดา คือ พระเจ้าชัยสงครามซึ่งเสด็จมาประทับยังเมืองเชียงราย พร้อมทั้งนำอัฐของพระราชบิดา คือพ่อขุนเม็งรายมหาราชที่เสด็จสวรรคตที่เชียงใหม่กลับมายังเมืองเชียงรายด้วย
สำหรับ พระธาตุเจดีย์หลวง ได้ชื่อมาจากพระเจดีย์องค์ใหญ่ที่ประดิษฐานอยู่ในวัดซึ่งสูงถึง 88 เมตร มีฐานกว้าง 24 เมตร เป็นพระเจดีย์ทรงระฆังแบบล้านนาที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเชียงแสน ภายในวัดนอกจากพระเจดีย์หลวงแล้วยังมีพระวิหารซึ่งเก่าแก่มากพังทลายเกือบหมดแล้วและเจดีย์ธาตุแบบต่างๆ อีก 4 องค์ โบราณสถานแห่งนี้แม้ว่าจะปรักหักพังไปมากแล้วแต่ได้รับการบูรณะอย่างดีให้สมกับเป็นวัดที่สำคัญของเมืองหิรัญนครเงินยางภายในสมัยอาณาจักรล้านนาไทย
ต่อมาเดินทางไปยังวัดพระธาตุผาเงา ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำโขงทางด้านทิศตะวันตก ตรงข้ามกับประเทศลาว อยู่ในหมู่บ้านสบคำ ต.เวียง อ.เชียงแสน เพื่อร่วมพิธีบวงสรวงและห่อผ้าองค์พระธาตุผาเงา
สำหรับการค้นพบหลวงพ่อผาเงา เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2519 เวลา 14.00 น. เมื่อคณะศรัทธาได้ปรับพื้นที่วัดเรียบร้อยแล้ว ทุกคนต่างตื่นเต้นและปิติยินดี เมื่อได้พบพระพุทธรูปที่มีลักษณะสวยงามมาก ผู้เชี่ยวชาญโบราณวัตถุ วิเคราะห์ว่า พระพุทธรูปองค์นี้มีอายุระหว่าง 700-1,300 ปี คณะทั้งหมดจึงได้พร้อมกันตั้งชื่อพระพุทธรูปองค์นี้ว่า "หลวงพ่อผาเงา" และเปลี่ยนชื่อวัดใหม่เป็น "วัดพระธาตุผาเงา" ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
ส่วนวันพรุ่งนี้ (23 พ.ค.61) คณะจะเดินทางเข้าประเทศเมียนมา เพื่อสักการะพระมหาเจดีย์ชเวดากอง (องค์จำลอง) ที่ อ.ท่าขี้เหล็ก ก่อนเดินทางกลับเข้าประเทศไทยเพื่อไปสักการะพระธาตุดอยตุง และปลูกหน่อต้นศรีมหาโพธิ์ 1 ต้นต่อไป
นายสุภชัย วีระภุชงค์ เลขาธิการสถาบันโพธิคยาฯ กล่าวว่า กิจกรรมที่จัดขึ้นครั้งนี้เพื่อนำสมาชิกของสถาบันโพธิคยาฯมากราบสักการะพระธาตุสำคัญทางภาคเหนือเพื่อเป็นศิริมงคลให้กับตนเอง นอกจากนี้ ยังถือโอกาสนี้สำรวจเส้นทางในการเตรียมจัดงานธรรมยาทตรา 6 แผ่นดินในปีต่อไปด้วย หลังจากที่ได้จัดไปแล้วครั้งหนึ่งเมื่อปีที่ผ่านมา โดยจะเอาภาคเหนือที่ จ.เชียงรายเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางธรรมยาทตรา 6 แผ่นดิน ส่วนจะมีประเทศใดบ้างนั้นตอนนี้เรายังไม่ได้ข้อสรุปซึ่งเราจะมีการประชุมกันในโอกาสต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี