อดีตพระพรหมเมธี หรือพระจำนงค์ เอี่ยมอินทรา อายุ 77 ปี แห่งวัดสัมพันธวงศาราม พระจากสายธรรมยุตเพียงหนึ่งเดียวที่ถูกกล่าวหากระทำการทุจริตและถูกดำเนินคดีอาญาในความผิดฐานสนับสนุนเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ และปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต โดยเป็นผู้ต้องหาคดีฟอกเงิน หรือคดีทุจริตเงินทอนวัดในลอต 3
ที่ผ่านมาอดีตพระพรหมเมธี มีความสัมพันธ์อันดีกับวัดพระธรรมกาย โดยเมื่อปี 2558 อดีตพระพรหมเมธี เคยเดินทางไปปฏิบัติศาสนกิจ ณ วัดพระธรรมกายบาวาเรีย เยอรมนี โดยในครั้งนั้นกรรมการมหาเถรสมา (มส.) อนุมัติหนังสือเดินทางราชการ ปกน้ำเงิน อายุหนังสือเดินทาง 5 ปี คือ 2558-2563 ซึ่งยังไม่หมดอายุ จึงเชื่อว่าสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นนี้เองที่ทำให้อดีตพระพรหมเมธี เลือกที่จะเดินทางไปขอลี้ภัยที่ประเทศเยอรมนี เนื่องจากในเยอรมนีมีสาขาวัดพระะรรมกาย มากถึง 7 แห่งมากที่สุดเป็นอันดับ 3 รองจากสหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น
สำหรับสาขาของวัดพระธรรมกายในเยอรมนี 7 แห่งประกอบด้วย 1.วัดพระธรรมกายบาวาเรีย 2.วัดพระธรรมกายชวาร์ซวัลด์ 3.วัดพระธรรมกายแฟรงก์เฟิร์ต 4.วัดพระธรรมกายเบอร์ลิน 5.วัดพุทธไฮล์บรอนน์ 6.วัดพุทธนอร์ดไรน์-เวสท์ฟาเลน และ 7.วัดพุทธฮัมบวร์ก
สำหรับอดีตพระพรหมเมธี หรืออดีตเจ้าคุณจำนงค์ เคยครองสมณศักดิ์พระราชาคณะเจ้าคณะรองฝ่ายธรรมยุติกนิกาย ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศาราม กรรมการมหาเถรสมาคม และเจ้าคณะภาค 4, 5, 6, 7 (ธรรมยุต) โดยตำแหน่งเหล่านี้สิ้นสุดลงเมื่อมีพระบรมราชโองการถอดถอนสมศักดิ์ เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2561 ที่ผ่านมา
ต่อมาสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ได้มีพระบัญชาปลดพ้นจากตำแหน่งกรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) ทำให้อดีตพระพรหมเมธี หรืออดีตเจ้าคุณจำนงค์ แห่งวัดสัมพันธวงศาราม ที่เคยได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการมหาเถรสมาคม พร้อมกับตำแหน่งโฆษก มส.เมื่อ 10 มีนาคม 2547 อีกตำแหน่งหนึ่ง
กลับกลายมาเป็น "พระจำนงค์" ธรรมดา หนีคดีหัวซุกหัวซุนไปขอลี้ภัยที่เยอรมนี ด้วยการช่วยเหลือของ "พระ ด." ซึ่งเป็นพระไทยในสหรัฐอเมริกา ที่มีความสนิทสนมส่วนตัวกับสามีของ "สีกา จ." คนไทยที่ทำสัมปทานเหมืองแร่ทองคำอยู่แขวงสาละวัน ทางภาคใต้ของ สปป.ลาว เป็นผู้ติดต่อประสานงานให้เพื่อไปขอลี้ภัยที่เยอรมนี ซึ่งโดยส่วนตัวทางอดีตพระพรหมเมธี นั้นมีฐานะทางการเงินค่อนข้างดีอยู่แล้ว จึงไม่มีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ
สำหรับเหตุผลที่อดีตพระพรหมเมธี ใช้อ้างในการขอลี้ภัยที่เยอรมนีนั้น อดีตพระพรหมเมธี อ้างว่ามีมูลเหตุจากการที่ตนเองมองว่ากระบวนการยุติธรรมของไทย ยังไม่เป็นที่น่าเชื่อถือ ไม่โปร่งใส และตรวจสอบไม่ได้ เพราะประเทศยังอยู่ในสถานการณ์พิเศษ มีกฎหมายที่ไม่ได้มาจากประชาชน หากกลับไปต่อสู้คดีอาจจะไม่ได้รับความยุติธรรมอย่างที่ควรจะเป็น
อย่างไรก็ตาม สำหรับหลักเกณฑ์การขอลี้ภัยในประเทศเยอรมนีที่จะสามารถยื่นคำขอได้หากเข้าหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ 1.การขอลี้ภัยทางการเมือง 2.การขอลี้ภัยในประเภทฐานะผู้ลี้ภัย 3.การขอรับความคุ้มครองเพียงบางส่วน 4.การขอคุ้มครองเพื่อไม่ให้ถูกส่งไปยังประเทศต้นทาง
คำขอลี้ภัยทางการเมืองเป็นประเภทที่ 1 จะเป็นการขอลี้ภัยเนื่องจากถูกละเมิดเสรีภาพทางศาสนา ความเชื่อทางการเมือง ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ที่มีความร้ายแรง ส่วนคำขอลี้ภัยประเภทที่ 2 จะเป็นกรณีขอลี้ภัยด้วยเหตุผลจากการถูกกลั่นแกล้งดำเนินคดี ถูกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม ด้วยเหตุผลทางการเมือง ศาสนา เชื้อชาติ ละเมิดพื้นฐานความเป็นมนุษย์อย่างร้ายแรง
โดยกรณีของพระพรหมเมธี คาดว่าจะยื่นคำขอลี้ภัยประเภท 1 หรือ 2
งานนี้ก็คงต้องรอลุ้นกันต่อไปว่าทางการไทยจะสามารถนำตัวอดีตพระพรหมเมธี กลับมาดำเนินคดีในไทยในข้อหากระทำการทุจริตและถูกดำเนินคดีอาญาในความผิดฐานสนับสนุนเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ และปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต โดยเป็นผู้ต้องหาคดีฟอกเงิน หรือคดีทุจริตเงินทอนวัดในลอต 3 ได้หรือไม่???
และคิดว่าอดีตพระพรหมเมธี คงจะไม่หายเข้ากลีบเมฆตามก้นพระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ไปอีกรายนะ!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี