“การค้าประเวณี” เรื่องนี้ทำเอาสังคมไทยไม่พอใจทุกครั้งเมื่อชาวโลกพาดพิง เช่น เมื่อคนใหญ่คนโตของต่างชาติเอ่ยคำว่า “เซ็กซ์ทัวร์” โดยทำให้รับรู้ว่าหมายถึงประเทศไทย สิ่งที่ตามมาคือกระแสสังคมเร่งรัดให้เจ้าหน้าที่รัฐ “กวาดจับ” พร้อมประกาศว่า “เมืองไทยไม่มีเซ็กซ์ทัวร์ เพราะการขายบริการทางเพศผิดกฎหมาย” ทว่าเมื่อกระแสซาลงภาพที่คุ้นชินก็กลับมาเช่นเดิม
อีกด้านหนึ่ง เสียงสะท้อนจากคนทำงานด้านสิทธิมนุษยชน มองว่าการกวาดจับโดยเฉพาะที่ใช้วิธี “ล่อซื้อ” สร้างผลกระทบให้กับผู้ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับค้ามนุษย์ไปด้วย ดังที่ ไหม จันทร์ดา ผู้แทนมูลนิธิเอ็มพาวเวอร์ กล่าวในเวทีเสวนา “จับเข่าคุย ล่อซื้อ 10 ปี แก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์หรือยัง?” ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ยกตัวอย่างหลายกรณี เช่น “หญิงบริการที่เป็นคนต่างด้าว ถูกห้ามเข้าประเทศไทย 100 ปี ทั้งที่ช่วยทางการในเรื่องคดีค้ามนุษย์มาตลอด” ผลคือไม่เพียงแต่เข้าเมืองไทยไม่ได้เท่านั้น แต่การไปประเทศอื่นๆ ก็ทำได้ยากไปด้วย
หรือกรณี “ผู้หญิงต้องถูกกักตัวไว้ตรวจมวลกระดูกเพื่อหาอายุจริงว่าต่ำกว่า 18 ปีหรือไม่” เพื่อใช้ประกอบสำนวนคดี โดยระหว่างถูกกักตัว พ่อที่ป่วยอยู่ก็เสียชีวิต เนื่องจากหญิงรายนี้เป็นผู้ทำงานหาค่ารักษาพยาบาล กระทั่งถูกกักตัวไม่สามารถติดต่อกับญาติที่บ้านได้ดังกล่าว “แม้จะยืนยันว่าอายุเกิน 18 ปี และสมัครใจมาขายบริการทางเพศก็ตาม” ซึ่งสุดท้ายผลตรวจมวลกระดูกก็พบว่าอายุเกิน 18 ปีจริง
“การที่ผู้หญิงคนหนึ่งเดินทางออกจากบ้านเพื่อจะมาทำงาน อยากเป็นลูกที่กตัญญูกับพ่อแม่และมีชีวิตที่ดีขึ้น แต่กลับกลายเป็นคนที่ผิด เพราะไม่ว่าจะผิดอย่างไร แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำอย่างไรก็ได้ ยังมีสิทธิมนุษยชน และเป็นมนุษย์คนหนึ่ง เหตุการณ์เหล่านี้แทบจะมองไม่เห็นว่านี่คือการช่วยเหลือจริงๆ เพราะเจตนาของกฎหมายค้ามนุษย์คือจับคนที่ทำผิด แต่ที่ผ่านมาจับแต่คนที่ดูแลครอบครัว เป็นผู้นำครอบครัว” ไหม กล่าว
เช่นเดียวกับ ทันตา เลาวิลาวัณยกุล ผู้ประสานงานมูลนิธิเอ็มพาวเวอร์ ชี้ว่า ในขณะที่งบประมาณถูกใช้เพิ่มขึ้นทุกปี จาก 9 ล้านบาท ในปี 2551 หรือปีแรกที่มี พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ เป็น 3 พันล้านบาท ในปัจจุบัน แต่ไทยกลับได้คะแนนต่ำลงในการจัดอันดับของต่างชาติ อีกทั้งเจ้าหน้าที่รัฐยังเลือกใช้วิธีล่อซื้อซึ่งละเมิดกฎหมาย คือ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226 ที่ระบุว่าหลักฐานต้องได้มาโดยชอบ เช่นเดียวกับองค์กรพัฒนาเอกชน (เอ็นจีโอ) ที่เข้าไปล่อซื้อ ก็ละเมิดต่อจรรยาบรรณที่ต้องเคารพสิทธิผู้ขายบริการที่สมัครใจทำงาน
ทันตากล่าวต่อไปว่า หลายครั้งที่มีการล่อซื้อมักจะ “กวาดจับไปหลักร้อยเพื่อหาเหยื่อค้ามนุษย์เพียงหลักสิบ” คนที่ไม่เกี่ยวข้องก็พลอยได้รับผลกระทบไปด้วย เช่น ถูกกักตัวไว้ไม่ได้ติดต่อกับญาติ อย่างไรก็ตาม ในประเทศไทยก็มีตัวอย่างที่ดีในการปราบปรามผู้ค้ามนุษย์อยู่บ้าง อาทิ ที่ จ.เชียงใหม่ เคยมีกรณีตำรวจได้รับแจ้งมีการนำเด็กอายุไม่ถึง 18 ปี มาขายบริการทางเพศ เมื่อตรวจสอบพบเป็นความจริงก็เข้าไปช่วยเด็กออกมาพร้อมจับกุมเจ้าของสถานที่ ส่วนคนอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องก็ปล่อยตัวกลับบ้านไป และมีการดำเนินคดีที่รวดเร็ว
แต่หนทางที่ดีที่สุด ทันตาระบุว่า “ต้องยกเลิก พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2539 เพื่อให้พนักงานบริการจัดเป็นแรงงานประเภทหนึ่ง” เพราะเมื่อได้รับสวัสดิการคุ้มครองเฉกเช่นแรงงานทั่วไปในภาคส่วนอื่นๆ “ย่อมสามารถปกป้องตนเองจากการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ” นอกจากนี้ “ยังช่วยเป็นหูเป็นตา แจ้งเบาะแสการค้ามนุษย์ให้ภาครัฐได้ด้วย” ซึ่งปัจจุบันไม่อาจทำได้เพราะจะถูกกวาดจับรวมไปด้วย
ขณะที่ พ.ต.ท.กฤตธัช อ่วมสน ผู้แทนกองต่อต้านการค้ามนุษย์ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ชีวิตของผู้ถูกล่อลวงมาค้าประเวณีน่าหดหู่จริง เช่น “มีนายหน้า (เอเย่นต์) ไปพาตัวเด็กสาวอายุไม่ถึง 18 ปีจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาในประเทศไทย โดยจ่ายเงินให้กับพ่อแม่ของเด็กสาว” ดังนั้นเด็กสาวจึงเป็นหนี้เฉลี่ยหลักแสนบาท “เมื่อเข้ามาแล้วก็ต้องขายบริการทางเพศเพื่อใช้หนี้” ระหว่างนั้นก็จะถูก “หักเงินสารพัด” ค่าตรวจโรค ค่าแต่งหน้าทำผม รวมถึงส่วนแบ่งให้กับเอเย่นต์ แม้กระทั่งใช้หนี้หมดแล้วก็ยังถูกหักเช่นเดิม
ซ้ำร้าย “เมื่อต้องเผชิญกับแขกบางรายที่ชอบใช้ความรุนแรง พอไปฟ้องเจ้าของสถานบริการก็ยังถูกดุด่าว่าแค่นี้ทำไมทนไม่ได้” จึงไปบอกกับเอ็นจีโอ แล้วเอ็นจีโอก็มาแจ้งตำรวจ หรือดีเอสไอ ให้เข้าจับกุม ทั้งนี้เอ็นจีโอเองก็ยังเห็นไม่ตรงกัน บางกลุ่มมองว่าการล่อซื้อเป็นการละเมิดสิทธิ แต่บางกลุ่มมองว่าจำเป็นเพราะต้องช่วยเหยื่อค้ามนุษย์ อีกทั้ง “แวดวงนี้ผลประโยชน์มหาศาลจึงถูกปล่อยปละละเลย” และยังน่าคิดว่า “เจ้าของสถานบริการ” ที่เห็นรายได้จากนักเที่ยวที่ชอบ “กินเด็ก” จึงนำเด็กอายุไม่ถึง 18 ปีมาค้าประเวณี “เสียภาษีบ้างหรือไม่?” เพราะแจ้งขาดทุนตลอด
“การยกเลิก พ.ร.บ.ห้ามค้าประเวณี อาจเป็นปัญหาเรื่องการค้ามนุษย์ซึ่งเป็นปัญหาระหว่างประเทศอยู่ทุกวันนี้ ผมว่าแก้กฎหมายข้อเดียว ผู้หญิงจะค้าประเวณีได้ต้องอายุ 18 ปีขึ้นไป สมัครใจจดทะเบียน แล้วถ้าใครอายุต่ำกว่า 18 ปี ไม่ต้องจับผู้หญิงติดคุก เอาผู้ชายที่ชอบไปเที่ยวกับเด็กติดคุกเสียบ้าง ผู้หญิงที่เป็นพยานก็ไม่ต้องเอาไปกักกันไว้ ช่วยกันแก้ตรงนี้มันจะแก้ปัญหาได้เลย” พ.ต.ท.กฤตธัช เสนอแนะ
อนึ่ง..ในงานเสวนาครั้งนี้ นัยนา สุภาพึ่ง อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.) ที่มาร่วมฟังอยู่ด้วย ได้ยกตัวอย่าง เยอรมนี ประเทศที่การขายบริการทางเพศไม่ผิดกฎหมายหากสมัครใจ มีการจดทะเบียนเสียภาษีอย่างถูกต้อง ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ที่ตำรวจเยอรมนีกวาดล้างสถานบริการที่เปิดอย่างผิดกฎหมายและมีการบังคับค้าประเวณีทั่วประเทศ ปฏิบัติการประสบความสำเร็จได้เพราะได้รับความร่วมมืออย่างดีจากพนักงานบริการ
ทว่าแม้จะมีมุมมองที่น่าสนใจ รวมถึงมีตัวอย่างจากต่างแดน แต่สำหรับสังคมไทย “เรื่องนี้ไม่ง่าย” ด้วยทัศนคติที่คนจำนวนไม่น้อยยังมองอาชีพพนักงานบริการทางเพศในแง่ลบ “ไม่อาจรับได้หากโสเภณีจะถูกกฎหมาย เพราะงานถูกกฎหมายย่อมหมายถึงงานที่สุจริตและมีเกียรติด้วย” ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ที่ต้องทำความเข้าใจกันต่อไป ดังที่ ปรานม สมวงศ์ ตัวแทนองค์กร โปรเทคชั่น อินเตอร์เนชั่นแนล (พีไอ) ในฐานะผู้ดำเนินรายการ ฝากข้อคิดไว้ว่า..
“คำนิยามที่บอกว่าอาชีพไหนมีเกียรติไม่มีเกียรติ เราหมายถึงอะไร? อาชีพที่มีเกียรติคือเราไม่ทรยศต่อหน้าที่ ไม่คอร์รัปชั่น สามารถตรวจสอบได้ไหมว่าการทำงานเราคืออะไร? ยิ่งโดยตำแหน่งที่ใช้อำนาจในทางสาธารณะ”
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี