เป็นอีกคดีที่สั่นสะเทือนความเชื่อมั่นในกลไกของรัฐ กับการกวาดล้างผลิตภัณฑ์ “เมจิกสกิน” (Magic Skin) หลังตรวจพบสารอันตรายทั้ง บิซาโคดิล (Bisacodyl)-ไซบูทรามีน (Sibutramine) เนื่องจากพบว่ามีบรรดา “คนดัง” จากหลายแวดวงเข้าไปร่วมรับงานโฆษณาผลิตภัณฑ์ดังกล่าว และเมื่อต้องเข้าไปให้ปากคำกับตำรวจ ก็มีบางรายชี้แจงว่า “เห็น
ข้างกล่องมีเครื่องหมาย อย. จึงคิดว่าไม่ผิดกฎหมาย สามารถโฆษณาได้” ทำให้เกิดคำถามตามมาว่า “ตกลงแล้วเครื่องหมาย อย. ยังน่าเชื่อถือหรือไม่?” ยังรับรองความปลอดภัยให้ประชาชนได้หรือเปล่า?
ที่งานเสวนา “จากกรณีเมจิกสกินถึงการบุกค้นตลาดใหม่ดอนเมือง สื่อทำหน้าที่อย่างไร และผู้บริโภคได้อะไร” ณ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยถ.สามเสน กรุงเทพฯ ผศ.ภญ.ดร.นิยดาเกียรติยิ่งอังศุลี ผู้จัดการแผนงานฯ ศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) กล่าวว่า วันนี้ในส่วนของ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ยังมีปัญหา เช่น การขึ้นทะเบียนอาหารตามกฎหมายแล้วไม่สามารถอวดอ้างสรรพคุณได้ ส่วนยานั้นปกติไม่ได้ใช้เครื่องหมาย อย. อยู่แล้ว
กระทั่งในยุคหนึ่ง อย. สนับสนุนให้อาหารกับเครื่องสำอางเข้ามาจดแจ้งกับ อย. ได้ ส่งผลให้มีผู้เข้ามาจดทะเบียนกับ อย. เป็นจำนวนมากและประชาชนก็จะคุ้นเคยกับเครื่องหมายอย. แต่ด้วยความที่พยายามปรับระบบการจดทะเบียนให้รวดเร็ว “มีผู้จดแจ้งจำนวนมากจนผู้ตรวจสอบตามไม่ไหว” ทำให้เกิดช่องว่างในการติดตามตรวจสอบคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่มาขอจดแจ้งดังกล่าว
“ทาง อย. ตอบมาน่าเป็นห่วงมาก คือคำว่า อย. ไม่ได้การันตีอะไรเลย อันนี้น่ากลัว คือมีตั้งแต่ อย.ปลอม แล้วเยอะมาก เอาอาหารเอาน้ำปลาไปปลอมเครื่องสำอาง กับ อย.จริง แต่เป็นการจดแจ้งที่คุณไม่ได้การันตีอนุญาต แล้วมันก็จะเกิดปัญหาตามมา ตอนนี้ อย. เขาก็ค่อยๆ รู้ตัวว่าพลาดไปตอนนั้น ก็ค่อยๆ มารื้อระบบ แต่มันเป็นมหากาพย์ที่ระบบ อย. มันต้องใช้วัฒนธรรมองค์กรที่จะต้องแก้ไขอยู่เยอะ” ภญ.นิยดา กล่าว
ภญ.นิยดา กล่าวต่อไปว่า “เรื่องนี้เป็นทั้งความสำเร็จและล้มเหลวของ อย. คือสามารถทำให้เครื่องหมาย อย. ติดตลาด แต่คนยังไม่รู้ข้อเท็จจริงเท่าใดนัก” ประกอบกับคนไทยมีนิสัยแสวงหาข้อมูลน้อย ซึ่งสำหรับ “ดาราที่รับงานโฆษณาจะอ้างว่าไม่รู้ไม่ได้เพราะส่วนหนึ่งเชื่อมโยงกับกฎหมาย ไม่ว่าจะรู้หรือไม่รู้ตัวก็ตาม” ดังนั้นหากไม่ต้องการให้เกิดปัญหาเช่นนี้อีก “ในอนาคตต้องมีคู่มือแนวปฏิบัติสำหรับคนที่จะรับงานโฆษณาสินค้า” ทำความเข้าใจในตัวกฎหมายว่าคำว่าโฆษณากินความได้แค่ไหน รวมถึงประชาชนจะเข้าไปมีส่วนร่วมเฝ้าระวังได้อย่างไร
รวมถึงต้องมี “ระบบตรวจสอบสาเหตุของอาการป่วยตั้งแต่ในโรงพยาบาล” เนื่องจากพบกรณีผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ “ลีน” (LYN) เสียชีวิตถึง 11 คน ในรอบ 5 ปี โดยในตอนแรกที่ผู้ป่วยเข้าโรงพยาบาล แพทย์หรือพยาบาลระบุเพียงเป็นโรคหัวใจหรือมีอาการทางจิตประสาทเท่านั้น ซึ่งสารไซบูทรามีนก็ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทด้วยเช่นกัน แต่แพทย์หรือพยาบาลทำแต่เพียงรักษาตามอาการ ทำให้ท้ายที่สุดผู้ป่วยเสียชีวิต จึงเสนอว่าควรให้เภสัชกรร่วมตรวจสอบด้วย เช่น ผู้ป่วยมีอาการแพ้ยาหรือไม่?จะเป็นการเฝ้าระวังได้อีกทางหนึ่ง
นอกจากนี้ “ภาครัฐต้องทำงานอย่างบูรณาการ” หน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องต้องช่วย อย. ทำงานด้วย เช่น สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ตำรวจ และกรมศุลกากร เพื่อปิดช่องว่างทางกฎหมายทั้งหมด
“เคยมีกรณีซูโดเอฟีดรีน (Pseudoephedrine) ที่นำไปใช้ผลิตยาบ้า พอสาวไปลึกๆ พบว่ามันหลุดเข้ามาโดยไม่ได้ระบุพิกัดเป็นยาซูโดเอฟีดรินสมัยนั้นยังขึ้นทะเบียนเป็นยากับวัตถุออกฤทธิ์ได้อยู่ การเข้ามาโดยที่กรมศุลกากรไม่รู้ ที่รู้เพราะ อย. ของเกาหลีส่งข่าวมาให้สะท้อนเลยว่ามันมีช่องว่างตรงนั้นเกิดขึ้น” ภญ.นิยดา ยกตัวอย่าง
เช่นเดียวกับ สถาพร อารักษ์วทนะนักวิชาการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคกล่าวว่า วันนี้กฎหมายและกลไกของรัฐยังมีปัญหา เช่น กฎหมายที่ อย. ถืออยู่เป็นกฎหมายเก่า ทั้ง พ.ร.บ.ยา พ.ศ.2510-พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ.2522 บทลงโทษต่ำมากเมื่อเทียบกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป อาทิ มีโทษปรับเพียงไม่เกิน 5,000 บาท หรือการส่งเสริมให้จดทะเบียนออนไลน์เพื่อความรวดเร็วจนการติดตามตรวจสอบเกิดตกหล่น เช่น จดทะเบียนบริษัทแต่ไม่มีอาคารที่ตั้งอยู่จริง ไปพบว่าเป็นเพียงบ้านเรือนบ้าง หรือพบว่าใช้โรงงานผลิตปุ๋ยเป็นสถานที่ผลิตอาหารบ้าง
รวมถึงการทำงานที่ขาดการประสานงาน เช่น กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ มีการสุ่มตรวจผลิตภัณฑ์ต่างๆ เป็นระยะๆ แต่ อย. ไม่นำข้อมูลจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์มาเผยแพร่ต่อสาธารณะ รวมถึงมีบางกรณี “กรมวิทย์ ตรวจเจอสาร
อันตรายแบบซ้ำซาก แต่ อย. ไม่ประกาศเตือน” หรือการโฆษณา “แม้จะกำหนดคำห้ามใช้ เช่น ร้อยเปอร์เซ็นต์ ดีที่สุดใช้แล้วขาว แต่ข้อห้ามดังกล่าวไม่มีสถานะทางกฎหมาย” เป็นเพียงการขอความร่วมมือเท่านั้น
“คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชนทำแบบสอบถามในระยะเวลา 41 วัน เหตุผลที่ผู้บริโภคเลือกซื้อสินค้าออนไลน์ ตรงนี้มันสอดคล้องกับกรณีเมจิกสกิน เขาบอกว่าโฆษณาจูงใจ มีพรีเซ็นเตอร์เป็นบุคคลมีชื่อเสียงคิดว่าซื้อมาแล้วจะได้ผลเหมือนโฆษณาสัดส่วนตรงนี้ 30 เปอร์เซ็นต์ และอีกส่วนที่เป็นประเด็นฮือฮา คือเขาเห็นโลโก้ อย. ก็คิดว่าปลอดภัย สัดส่วนตรงนี้มีถึง 25 เปอร์เซ็นต์ ใกล้เคียงกันเลยกับเรื่องของโฆษณา”สถาพร ระบุ
อีกด้านหนึ่ง ผศ.สกุลศรี ศรีสารคาม อาจารย์คณะนิเทศศาสตร์ สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) และกรรมการจริยธรรม สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ เสนอแนะว่า ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยต้องจัดทำแนวปฏิบัติการโฆษณาสินค้าเผยแพร่ให้กับผู้ที่จะรับรีวิวสินค้า ซึ่งมีตัวอย่างแล้วที่ สหรัฐอเมริกา โดยคณะกรรมาธิการการค้า (Federal Trade Commission-FTC) มีข้อปฏิบัติให้กับคนที่จะมารีวิวสินค้าต่างๆ และมีการส่งหนังสือเตือนเป็นรายบุคคลด้วยหากนำเสนออย่างไม่เหมาะสม
“ต้องยอมรับว่าสมัยนี้คนเชื่อคนดังมากกว่าโฆษณาด้วยซ้ำ แต่ยังไม่มีเจ้าภาพมาจัดระเบียบ อย่างที่อเมริกาเขากำหนดเลยว่าคุณต้องใช้จริง ดังนั้นต้องมีการทำงานกับผู้ที่เกี่ยวข้อง ว่าสินค้านี้ใช้เป็นเวลาเท่าไรจึงจะเห็นผล” อาจารย์สกุลศรี กล่าว
ต้องยอมรับว่าคนไทยถูกปลูกฝังกันมารุ่นแล้วรุ่นเล่า “ให้เลือกใช้สินค้าที่มีเครื่องหมาย อย.” จนเกิดความเคยชิน “เมื่อเห็นผลิตภัณฑ์ใดๆที่มี อย. อยู่บนฉลากหรือบรรจุภัณฑ์ย่อมคิดว่าผลิตภัณฑ์นั้นปลอดภัยและได้รับการรับรองตามกฎหมาย” สามารถซื้อหามาบริโภค รับผลิตภัณฑ์มาขายต่อ รวมถึงรับงานโฆษณาสินค้านั้นได้ กระทั่งเกิดกรณีเมจิกสกินที่เป็น “วิกฤติศรัทธา” ต่อเครื่องหมาย อย. ตามที่เป็นข่าว
แต่การกู้ศรัทธาในเครื่องหมายอย. กลับมาให้ประชาชนเชื่อมั่นคงไม่อาจทำได้โดย อย. เพียงหน่วยงานเดียว หากเป็นทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเข้ามาร่วมไม้ร่วมมือ!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี