เป็นชุมชนที่ไม่หยุดพัฒนาจริงๆ สำหรับ “ชุมชนบ้านเปร็ดใน” ต.ห้วงน้ำขาว อ.เมือง จ.ตราด จากจุดเริ่มต้นที่เข้าร่วมโครงการสร้างกระบวนการวิจัยภายในชุมชน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ศึกษาวิธีวาง “เต๋ายาง” หรือการวางยางรถยนต์เก่าทำแนวต้านการกัดเซาะชายฝั่ง จนผืนดินที่เคยหายไปในทะเลค่อยๆ โผล่กลับขึ้นมาไม่เพียงเท่านั้น ที่นี่ยังได้มีการนำ “พลังงานแสงอาทิตย์” มาช่วยลดต้นทุนค่าไฟฟ้าสำหรับประกอบอาชีพเกษตรกรรมอีกด้วย
กลับไปที่ป่าชายเลน หลังการวางแนวต้านการกัดเซาะชายฝั่งจนสภาพพื้นที่ค่อยๆ กลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง จึงมีการต่อยอดในชื่อ “โครงการฟื้นฟูป่าชายเลนบ้านเปร็ดใน โดยการมีส่วนร่วมของชุมชน เพื่อสนับสนุนกลไกคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้” สืบเนื่องจากป่าชายเลนบ้านเปร็ดในจัดเป็นป่าชายเลนที่มีระดับความสมบูรณ์มาก เนื่องจากมีต้นไม้ที่ยังมีอัตราการเติบโตสูง และมีศักยภาพในการเพิ่มพูนการกักเก็บคาร์บอน โดยผลการศึกษาการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จากการใช้พลังงานทุกประเภทของชุมชน พบว่า
“มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการใช้พลังงานรวม 398.33 ตัน CO2/ปี ซึ่งพื้นที่ป่าชายเลนในขนาด 36.28 ไร่ สามารถดูดซับปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนดังกล่าวได้ ดังนั้น จากพื้นที่ป่าชายเลนบ้านเปร็ดในที่มีอยู่ 12,000 ไร่ (ระหว่างคลอง 1 ถึงคลอง 15) จะสามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 131,760 ตัน CO2/ไร่/ปี ซึ่งข้อค้นพบนี้ชี้ให้เห็นชัดว่า ป่าชายเลนบ้านเปร็ดในมีศักยภาพเพียงพอในการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั้งของชุมชนโดยรอบและชุมชนใกล้เคียงได้”
จากข้อค้นพบข้างต้น ทางชุมชนเล็งเห็น “โอกาส” สร้างรายได้อีกทางหนึ่ง นั่นคือการ “ขายคาร์บอนเครดิต” (Carbon Credit)แต่ก็น่าเสียดายที่ในประเทศไทยขณะนี้ยังไม่มีกระบวนการรองรับ ซึ่ง อำพร แพทย์ศาสตร์ ที่ปรึกษากลุ่มอนุรักษ์และพัฒนาป่าชายเลนป่าบ้านเปร็ดใน กล่าวว่า เมื่อใดก็ตามที่รัฐบาลมีนโยบายรับซื้อ ทางชุมชนก็พร้อมดำเนินการทันที เพราะรู้กันแล้วว่าจะต้องทำอย่างไรบ้าง
“คาร์บอนเครดิต” (Carbon Credit) เกิดขึ้นจากอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change : UNFCCC) ในพิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol) ที่ภาคผนวก 1 (Annex 1) กำหนดให้ประเทศพัฒนาแล้วต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นให้ได้ร้อยละ 5.2 ภายในปี 2555 แต่เมื่อหลายชาติยืนยันว่าไม่สามารถทำได้ จึงกลายเป็นระบบ “จ่ายเงิน” ให้ประเทศกำลังพัฒนาทำโครงการฟื้นฟูพื้นที่ป่าหรือธรรมชาติแทนตน
คาร์บอนเครดิตเป็นระบบที่ได้รับความนิยมจนถึงปัจจุบัน มีการตั้งราคาซื้อขายกันเป็นเรื่องเป็นราว แต่ก็มีข้อสังเกตเช่นกันว่าช่วยแก้ปัญหาโลกร้อนได้จริงหรือไม่ เพราะชาติที่เจริญแล้วทั้งหลายซึ่งเป็นผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกปริมาณมาก อาจเคยชินกับการจ้างให้ประเทศกำลังพัฒนาปลูกป่าหรือทำโครงการฟื้นฟูธรรมชาติแทน จนไม่เร่งรีบปรับปรุงกิจกรรมต่างๆ ภายในประเทศของตนเองให้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง
ทั้งขั้นตอนการจัดเก็บข้อมูล วิธีการสำรวจ คำนวณ ขนาด ความสูงและการกักเก็บคาร์บอน ซึ่งความรู้เหล่านี้ชุมชนได้รับการสนับสนุนทั้งจาก สกว. และจากผู้เชี่ยวชาญ ที่ได้เข้ามาถ่ายทอดให้กับนักวิจัยชุมชน ตั้งแต่ปี 2558 ที่ผ่านมา และทางนักวิจัยชุมชนเองก็ได้นำความรู้ที่ได้รับไปถ่ายทอดให้กับเยาวชนได้เรียนรู้ และมีส่วนร่วมในการดูแลปกป้องป่าชายเลนของชุมชนต่อไป
สำหรับการดำเนินงานโครงการฟื้นฟูป่าชายเลนบ้านเปร็ดใน โดยการมีส่วนร่วมของชุมชนมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐานที่จำเป็นต่อการวางแผนการจัดการ ได้แก่ โครงสร้างป่า พรรณไม้ปริมาตร ผลผลิตมวลชีวภาพ และศึกษาศักยภาพในการกักเก็บคาร์บอนตามวิธีการมาตรฐานของ IPCC (2003) เพื่อสนับสนุนกลไกคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้ และจัดทำฐานข้อมูลทรัพยากรป่าชายเลนชุมชน
โดยเน้นการมีส่วนร่วมของชุมชนในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การกำหนดนักวิจัยชุมชน การวางแผน คัดเลือกพื้นที่ศึกษา ดำเนินการวิจัย นำเสนอผลการวิจัย รวมถึงการศึกษาดูงานเพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์เกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรป่าชายเลนในพื้นที่ชายฝั่งอันดามัน เพราะการสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมถือเป็นการสร้างองค์ความรู้ที่สอดคล้องกับความต้องการของชุมชนซึ่งจะก่อให้เกิดการเรียนรู้อย่างยั่งยืน ข้อมูลการสำรวจ พบว่าป่าชายเลนบ้านเปร็ดใน ประกอบด้วยพรรณไม้ จำนวน 15 ชนิด จำแนกเป็นไม้ใหญ่ 14 ชนิด ไม้รุ่น 10 ชนิด และกล้าไม้ 4 ชนิด
แสดงให้เห็นว่าพรรณไม้ในพื้นที่ป่าชายเลนบ้านเปร็ดใน มีศักยภาพในการเจริญทดแทนตามธรรมชาติที่ค่อนข้างต่ำ และในอนาคตมีแนวโน้มว่าความหลากหลายทางชีวภาพจะลดลง โดยพรรณไม้ที่มีค่าดัชนีความสำคัญสูงมี 2 ชนิด คือ โกงกางใบเล็ก และโปรงแดงอย่างไรก็ตาม แม้ลักษณะโครงสร้างของต้นไม้ในป่าชายเลนบ้านเปร็ดในส่วนใหญ่โดยเฉลี่ยมีขนาดไม่ใหญ่ แต่จัดว่าเป็นป่าชายเลนที่มีมวลชีวภาพในระดับความสมบูรณ์มาก แสดงให้เห็นว่าป่าชายเลนบ้านเปร็ดในมีศักยภาพสูงในการเพิ่มพูนผลผลิต
ผลการศึกษาดังกล่าวถูกนำมาจัดการข้อมูลในรูปแบบของ “ระบบฐานข้อมูล” เพื่อให้ชุมชนสามารถใช้ประโยชน์ในการจัดการทรัพยากรป่าชายเลนได้อย่างสะดวกต่อไป นอกจากนี้โครงการฯ ยังจัดฝึกอบรมให้ความรู้ด้านการใช้ระบบฐานข้อมูลและวิธีการจัดเก็บข้อมูลแก่นักวิจัยชุมชน เพื่อให้ระบบฐานข้อมูลอยู่กับชุมชนตลอดไป โดยชุมชนสามารถปรับปรุงข้อมูลได้เองอย่างต่อเนื่อง
อำพร กล่าวอย่างภูมิใจว่า “ป่าชายเลนในฐานะที่เป็นแหล่งอาหาร ทำให้เราไม่ต้องไปซื้อหาที่ไหน หรือใครจะจับขายเป็นรายได้ก็สามารถทำได้เช่นกัน” แต่การใช้ทรัพยากรในพื้นที่ก็ต้องมี“ข้อตกลง” ที่ทุกคนในชุมชนต้องปฏิบัติตาม เช่น “ห้ามจับสัตว์น้ำในช่วงที่มีการวางไข่” ซึ่งที่นี่มีคำขวัญว่า “หยุดจับร้อย ค่อยจับล้าน”เพราะเป้าหมายในการฟื้นฟูป่าชายเลนของชุมชนก็เพื่อให้เป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำ
“คนที่เคยอยู่กับป่าชายเลนจะรู้ว่าคุณค่าของป่าชายเลนนั้นมากมายแค่ไหน แม้หาดทรายจะสร้างรายได้มหาศาลจากการท่องเที่ยว แต่ถ้าวันหนึ่งนักท่องเที่ยวไม่มาเราจะได้อะไรจากหาด เพราะแหล่งอาหารหรือทรัพยากรสัตว์น้ำไม่ได้อยู่ที่หาดทราย แต่อยู่ที่ป่าชายเลนเราไม่ต้องซื้อ เราไม่มีอด นี่คือความภูมิใจในชุมชนของเรา” อำพรกล่าวในท้ายที่สุด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี