สำหรับประเทศไทย แม้ภาคเกษตรจะไม่ได้มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงเมื่อเทียบกับภาคบริการ-ท่องเที่ยว หรือภาคอุตสาหกรรม แต่ภาคเกษตรก็มีความสำคัญในฐานะแหล่งผลิตอาหารเลี้ยงประชากรคนไทยทั้งประเทศทำให้ไม่ต้องนำเข้าอาหารจากภายนอก ดังนั้น “ความปลอดภัย”จึงสำคัญที่สุด ดังระยะหลังๆ ที่มีการปลุกกระแส “เกษตรอินทรีย์” ยุติการใช้สารเคมี โดยเฉพาะสาร 3 ชนิด “พาราควอต (Paraquat) ไกลโฟเซต (Glyphosate) คลอร์ไพริฟอส (Chlorpyrifos)” จนนำมาสู่ “ข้อถกเถียง” ในสังคมไทย
ระหว่างฝ่ายที่ย้ำว่า “ต้องเลิกใช้โดยเด็ดขาดเท่านั้น” โดยอ้างอิงแนวทาง กลุ่มสหภาพยุโรป (อียู-EU) ที่รัฐชาติสมาชิกทยอยประกาศห้ามใช้ หลังพบผลกระทบ เช่น โรคพาร์กินสัน (Parkinson) เป็นปัจจัยเสี่ยงก่อมะเร็ง รวมถึงยังสามารถส่งผ่านสารเคมีจากมารดาสู่ทารกในครรภ์ได้ กับอีกฝ่ายที่ยืนยันว่า “จำเป็นต้องใช้” ซึ่งอ้างอิงแนวทางสหรัฐอเมริกา ที่ยังอนุญาตให้เกษตรกรใช้สารเคมีดังกล่าวได้แต่อยู่ภายใต้มาตรการควบคุม ด้วยเหตุผลว่าการผลิตทางการเกษตรจำนวนมากอย่างไรก็ต้องใช้สารเคมีช่วย
อย่างไรก็ตาม มติการประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตราย ณ กระทรวงอุตสาหกรรม เมื่อ 23 พ.ค. 2561 บทสรุปคือสารเคมีทั้ง 3 ข้างต้น “ได้ไปต่อ” ในประเทศไทย ด้วยเหตุผลว่ายังไม่มีข้อสรุปที่เพียงพอด้านผลกระทบต่อสุขภาพ พร้อมกับมอบหมายให้กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เร่งจัดทำข้อควบคุมการใช้สารทั้ง 3 ชนิด ว่าจะใช้ได้กับพืชใดหรือพื้นที่ใดได้บ้าง ให้แล้วเสร็จภายใน 2 เดือน
เมื่อภาครัฐตัดสินใจเช่นนี้ สมาคมเทคโนโลยีชีวภาพสัมพันธ์ พร้อมด้วยฝ่ายเกษตรกรและภาควิชาการที่มองว่าสารเคมีเกษตรยังจำเป็น จึงจัดประชุม “สรุปข้อเสนอมาตรการจำกัดการใช้สารเคมีเกษตร 3 ชนิด คือพาราควอต (Paraquat) ไกลโฟเซต (Glyphosate) และคลอร์ไพริฟอส (Chlorpyrifos) เพื่อนำเสนอต่อกรมวิชาการเกษตร” ณ รร.มารวยการ์เด้น ช่วงกลางเดือน มิ.ย. 2561 ที่ผ่านมา มีข้อเสนอแนะต่อทั้งระบบ
1.การนำเข้า เช่น จำกัดปริมาณการใช้จริงซึ่งจะมีผลต่อปริมาณการนำเข้า โดยสร้างระบบติดตามการใช้สารเคมีให้เป็นไปตามอัตราที่กำหนด มีระบบการตรวจสอบย้อนกลับ 2.การผลิต เช่น กำหนดให้ผู้ผลิตสารเคมีเกษตรต้องอบรมให้ความรู้เกษตรกรและร้านค้าเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง การปรับปรุงฉลากให้แสดงรายละเอียดครบถ้วนรอบด้าน อาทิ คำเตือนการใช้ทั้งด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ข้อห้ามใช้เกินปริมาณที่กำหนด ควบคุมคุณภาพผลิตภัณฑ์ อาทิ พาราควอตต้องเติมสารกระตุ้นอาเจียน เติมสีและกลิ่น
3.การขาย เช่น ร้านค้าต้องมีผู้เชี่ยวชาญประจำร้าน มีหลักสูตรอบรมผู้ประกอบการร้านจำหน่ายเคมีเกษตรโดยเพิ่มความรู้ด้านสุขภาพเข้าไป หามาตรการส่งเสริมให้เกษตรกรเข้าถึงอุปกรณ์ป้องกันตนเองจากสารเคมีได้อย่างสะดวกและราคาไม่แพง อาทิ อาจขยายการวางขายไปยังร้านสะดวกซื้อหรือห้างค้าปลีกต่างๆ ห้ามเร่ขายหรือขายผ่านสื่อออนไลน์
ใช้กลไกบัตรสินเชื่อเกษตรกรสร้างระบบติดตามเส้นทางสารเคมี จากผู้ผลิตสู่ร้านค้าและเกษตรกร พร้อมจัดทำรายงานประจำปี ยกระดับร้านจำหน่ายเคมีภัณฑ์เกษตรที่มีอยู่ทั่วประเทศให้เข้าสู่มาตรฐานตาม โครงการร้านจำหน่ายปัจจัยการผลิตทางการเกษตรที่มีคุณภาพ “คิวช็อป” (Q Shop) โดยออกข้อกำหนดว่าร้านที่จะได้รับอนุญาตให้จำหน่ายพาราควอต ไกลโฟเซต และคลอร์ไพริฟอส ได้นั้นต้องเข้ามาตรฐานข้างต้น
และ 4.การใช้ เช่น จัดหลักสูตรอบรมเกษตรกร เป็นหลักสูตรมาตรฐานสามารถอ้างอิงได้ในทางวิชาการ กระจายอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มีอำนาจหน้าที่จัดการอบรมเพราะอยู่ใกล้ชิดเกษตรกรมากที่สุด ใช้กลไกบัตรสินเชื่อเกษตรกรจูงใจให้เกษตรกรเข้ารับการอบรม รวมถึงทำให้ ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศจำนวน 882 ศูนย์ เป็นหลักในการอบรมผู้รับจ้างฉีดพ่นสารเคมี
สุกรรณ์ สังข์วรรณะ ประธานศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร อ.หนองหญ้าไซ จ.สุพรรณบุรี กล่าวว่า วันนี้สิ่งแรกที่ต้องทำคือควบคุมการขายสารทั้ง 3 ในร้านค้าเฉพาะให้ได้ก่อน เช่น เมื่อเกษตรกรมาซื้อต้องแจ้งว่าจะซื้อจำนวนเท่าไร ซื้อไปทำอะไร ซึ่งจะทำให้ตรวจสอบได้ตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง รวมถึงควบคุมไม่ให้มีการนำสินค้าด้อยคุณภาพมาขายได้ด้วย เพราะแม้จะเป็นสารเคมีตัวเดียวกันแต่มีผู้ผลิตหลายรายคุณภาพก็อาจไม่เหมือนกัน แต่ก็ต้องมีสถานที่ทดลองด้วยว่าที่สารเคมีใช้ไม่ได้ผลเกิดจากอะไรได้บ้าง
พร้อมกับย้ำว่า “ผู้ผลิตสารเคมีเกษตรต้องเข้ามาร่วมกับภาครัฐให้ความรู้การใช้งานที่ถูกวิธีกับเกษตรกรด้วย” เพราะบริษัทที่ผลิตหรือนำเข้า มีธุรกิจมีกำไร มีลูกค้าคือเกษตรกร ก็ต้องเข้ามาสนับสนุนด้วยการให้ความรู้ เนื่องจากราชการคงไม่มีงบประมาณเพียงพอจะอบรมเกษตรกร 5 ล้านครอบครัว ภาคธุรกิจต้องสนับสนุนเงินเข้ามา ต้องสร้างทีมที่มีทั้งนักวิชาการภาครัฐและบริษัทผู้ค้าหรือผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ขึ้นมาให้ความรู้ เน้นอบรม 1.ให้ผู้ที่ฉีดเอง ไม่ใช่พวกโทรศัพท์สั่งคนอื่นฉีดก็ให้เข้ามา กับ 2.พวกรับจ้างฉีด ทั้งคนไทยและต่างชาติ
“เรื่องสารเคมีด้อยคุณภาพคงไปปรักปรำเขาไม่ได้ ฉีดแล้วไม่ตายมันก็มีหลายกรณี ถ้าเราจะดูว่าแต่ละยี่ห้อดีหรือไม่ดีก็ต้องทำการทดลอง เช่น ไกลโฟเซต ถ้าบอกว่ามันไม่ดีจริง การฉีดพ่นถูกต้องไหม? ปริมาณการพ่น (Spray Volume) ถูกต้องไหม? ดินมีความชื้นหรือไม่? มันมีปัจจัยอื่นอีกเยอะ ซึ่งการทดลองราชการต้องทำ เช่น มีการร้องเรียนมาว่าพาราควอตยี่ห้อนี้ฉีดไม่ตาย เก็บตัวอย่างมาเช็คเปอร์เซ็นต์เบื้องต้นก่อน ถ้าไม่ตรงปุ๊บผิดทันที แต่ถ้าเกษตรกรใช้ไม่ถูกต้อง เช่น หญ้าใหญ่ไปใช้น้อยกว่าที่กำหนด ก็ถือว่าผิดที่เกษตรกร” สุกรรณ์ กล่าว
ขณะที่ รศ.ดร.พรชัย เหลืองอาภาพงศ์ อาจารย์ภาควิชาพืชศาสตร์และปฐพีศาสตร์ สาขาวิชาพืชไร่ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) กล่าวเพิ่มเติมประเด็นผู้รับจ้างพ่นสารเคมีต้องได้รับการอบรมว่า “จริงๆ แล้วแรงงานต่างชาติมีความรู้เพราะสัมผัสกับสารเคมีโดยตรง เพียงแต่ต้องกระตุ้นให้รู้สึกว่าไม่ใช่สารเคมีที่ปลอดภัยทั้งหมด” ให้ตระหนักว่าฉีดแล้วจะไม่ไปเป็นอันตรายต่อผลผลิตทางการเกษตรและสิ่งแวดล้อม โดยสร้างเครือข่ายอาสาสมัครไม่ว่าจากบุคลากรภาครัฐ สถาบันการศึกษา หรือผู้นำชุมชน ที่ได้รับการอบรมให้ไปถ่ายทอดต่อในพื้นที่
“เรามีมหาวิทยาลัยราชภัฏ มีวิทยาลัยเกษตรทั่วประเทศ ก็ให้คนเหล่านี้ไปให้ความรู้ร้านค้าและเกษตรกร” อาจารย์พรชัย ยกตัวอย่าง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี