“ส่งรถ”, “เติมก๊าซ” เป็นเหตุผลในการ “ปฏิเสธผู้โดยสาร” ที่ได้ยินบ่อยที่สุดเมื่อเรียกใช้บริการ “รถแท็กซี่”และเป็นเรื่องที่มีการร้องเรียนไปยังหน่วยงานผู้รับผิดชอบมากที่สุดอย่าง กรมการขนส่งทางบก ดังสถิติ 3 ปีย้อนหลัง ในปีงบประมาณ 2557 พบการปฏิเสธผู้โดยสารจำนวน 12,511 ครั้ง ปีงบประมาณ 2558 จำนวน 22,197 ครั้ง และปีงบประมาณ 2559 จำนวน 20,259 ครั้ง ขณะที่
จำนวนแท็กซี่ในกรุงเทพฯ ณ สิ้นปี 2560 มีทั้งสิ้น 77,864 คัน
ในมุมหนึ่งการปฏิเสธผู้โดยสารสร้างความหงุดหงิดรำคาญใจให้กับผู้ใช้บริการ โดยเฉพาะใน “ย่านแหล่งท่องเที่ยว” ที่บรรดาคนขับมักจอดรอเปิดไฟว่างหรือขับวนไปมารอ “ชาวต่างชาติ” เพราะจะได้ “บังคับเหมา”ไม่กดมิเตอร์ คนไทยเรียกอย่างไรก็ไม่ไปแต่อีกมุมหนึ่งหากเป็นเส้นทางทั่วๆ ไปเหตุผลเรื่องเติมก๊าซและส่งรถก็ดูจะมีมูลอยู่บ้าง เพราะแท็กซี่เมืองไทยจำนวนมากเป็นระบบ “เช่าขับ” ไม่ใช่พนักงานกินเงินเดือน และไม่ใช่รถของตนเอง
ทั้งนี้วงจรชีวิตของผู้ขับรถแท็กซี่ประเภทเช่าขับในแต่ละวัน มักเป็น“รถ 1 คันต่อคนขับ 2 คน” เวลาเปลี่ยนคนขับที่เรียกกันว่าส่งรถหรือส่งกะ หากเป็นช่วงกลางวันจะอยู่ที่ 15.00-16.00 น. ส่วนกลางคืนจะอยู่ที่ 03.00-04.00 น. แต่ก่อนที่จะไปส่งรถให้ “คู่กะ”ที่ขับด้วยกัน ก็ต้องนำรถไปเติมก๊าซให้เต็มถังและล้างรถให้สะอาด อีกทั้ง “หากส่งรถช้า ก็จะต้องถูกปรับ” การส่งรถให้ทันเวลาจึงสำคัญมาก
และด้วยความที่ “แท็กซี่ส่วนใหญ่ใช้ก๊าซเอ็นจีวี” (NGV) ดังรายงาน “โครงการศึกษาการพัฒนาเพื่อความปลอดภัยและคุณภาพการให้บริการของรถแท็กซี่ โดยพิจารณาโครงสร้างต้นทุนและการประกอบการ”ที่ทางสถาบันวิจัยและการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ-TDRI) ทำร่วมกับกรมการขนส่งทางบก ซึ่งมีการประชุมรับฟังความคิดเห็น ณ รร.รามาการ์เด้นส์ ย่านหลักสี่ กรุงเทพฯ ไปเมื่อเร็วๆ นี้ พบว่า “มีแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซซีเอ็นจี (CNG : อีกชื่อหนึ่งของก๊าซ NGV) ถึงร้อยละ 77” แน่นอนเป็นที่ทราบกันดีว่า “ปั๊ม NGV นั้นมีน้อย” เข้าขั้นหายาก
หลายคนอาจคิดว่า “ขับแท็กซี่นี้แสนสบาย ชีวิตอิสระเสรีไม่มีใครบังคับ” แต่หากไปดู “ค่าใช้จ่าย”คนขับแท็กซี่ 1 คน จะมีค่าใช้จ่ายหลายอย่าง เช่น “ค่ารถ” ไม่ว่าผ่อนรถหรือเช่ารถขับ (กรณีขับคนเดียวทั้งวัน)เฉลี่ยวันละ 721.66 บาท ค่าเชื้อเพลิง340.12 บาท ค่าบำรุงรักษารถ 80.03 บาท และค่าบริหารจัดการ (ค่าที่จอดรถ ค่าสมาชิกศูนย์วิทยุ ค่าสมาชิกสหกรณ์ ฯลฯ) โดยสรุป “แต่ละวันแท็กซี่มีรายจ่ายบังคับเฉลี่ย 1,175.38 บาทต่อวัน แต่มีรายได้เฉลี่ย 1,563 บาทต่อวัน” หรือหักลบกันแล้วเฉลี่ยเพียง 387.62 บาทเท่านั้น
ประธานเครือข่ายสหกรณ์แท็กซี่ในเขตกรุงเทพมหานคร วิฑูรย์ แนวพานิช กล่าวกับสื่อมวลชนในวันรับฟังความคิดเห็นครั้งนี้ว่า “คนขับแท็กซี่ทำงานเฉลี่ย 12-13 ชั่วโมงต่อวัน” และรายได้สามร้อยกว่าบาทข้างต้น หากเป็นคนขับประเภทเช่ารถเมื่อนำรถไปคืนแล้วก็จะต้องนั่งรถสาธารณะต่างๆ กลับบ้านเอง เฉลี่ยแล้ว “เหลือเงินจริงๆ อาจไม่ถึงสามร้อยบาทต่อวัน” น้อยกว่าค่าแรงขั้นต่ำลูกจ้างในโรงงานทั้งที่ใช้เวลาทำงานมากกว่า
วิฑูรย์ กล่าวต่อไปว่า “รถติด” การจราจรที่ติดขัดเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้คนขับแท็กซี่เลือกที่จะปฏิเสธผู้โดยสาร เพราะแม้จะมีการกำหนดอัตราค่าโดยสารช่วงรถติดไว้ แต่ในความเป็นจริงคนขับไม่เคยได้รับ เพราะ “มิเตอร์รถแท็กซี่ส่วนใหญ่ขณะนี้ยังเป็นรุ่นเก่าไม่มีระบบทดเวลา” เช่น รถติด 50 วินาที ขยับรถได้ครู่หนึ่ง แล้วก็รถติดอีก 50 วินาที แทนที่จะบวกกันเป็นนาทีกว่าๆ เพื่อที่จะได้ค่ารถติด 2 บาท แต่มิเตอร์ไม่ได้จดจำมาบวกกันดังกล่าวแต่ไปนับใหม่ จึงอยากให้กรมการขนส่งทางบกเข้ามาช่วยเรื่องการเปลี่ยนมิเตอร์ของแท็กซี่ทุกคันทั่วกรุงเทพฯ ด้วย
“ถ้าเป็นแท็กซี่โอเค (Taxi OK : รถแท็กซี่รุ่นใหม่ เพิ่มอุปกรณ์ใหม่ตามที่กรมการขนส่งทางบกกำหนด) มิเตอร์มีความจำตรงนี้แล้ว ติด 30 วินาที ขยับแล้วไปติดต่อมันก็นับ 31 32 พอครบ 60 วินาทีก็ขึ้นเป็นตัวเงิน แต่ของเดิมมันไม่ขึ้น มิเตอร์เก่าไม่รู้เวลา ไม่มีจีพีเอส (GPS : ระบบระบุพิกัดด้วยดาวเทียม) มันบอกไม่ได้ว่าตัวเองอยู่พื้นที่ไหน รถติดหรือเปล่า มิเตอร์ตัวเก่ามันอยู่ในรถ 80-90 เปอร์เซ็นต์ มันยังพัฒนามาไม่ถึง ถ้าแก้ปัญหาชั่วคราวด้วยการให้เปลี่ยนแต่มิเตอร์จะอยู่ที่ 6,000 บาท แต่ถ้าเปลี่ยนทั้งชุดจะอยู่ที่ 2 หมื่นกว่าบาท” วิฑูรย์ ระบุ
ย้อนกลับมาที่ผลการศึกษาของ TDRI นักวิชาการด้านจราจรและขนส่ง สุเมธ องกิตติกุล เปิดเผยว่า สิ่งที่คนขับไม่พอใจที่สุดขณะนี้คือ “อัตราค่าโดยสาร” ทีมผู้วิจัยจึงลองคำนวณค่าโดยสารโดยเปลี่ยนตัวแปรจากเวลาที่การจราจรติดขัดเป็นเวลาในการเดินทางทั้งหมด ซึ่งหากแท็กซี่วิ่งเข้าไปในพื้นที่รถติดคนขับก็จะได้ค่าโดยสารเพิ่มขึ้น แต่ถ้าวิ่งในพื้นที่ที่รถไม่ติดก็จะใช้เวลาน้อยอยู่แล้ว ทั้งนี้วิธีคิดค่าโดยสารตามเวลามีการใช้ในบางประเทศ เช่น สิงคโปร์ ที่คิดค่าโดยสารกรณีรถติดอยู่ที่เมื่อรถเคลื่อนที่ด้วยความเร็วต่ำกว่า 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็นต้น
“เราลองประเมินเบื้องต้นแบบถัวเฉลี่ย ถ้าเข้าไปในพื้นที่ที่รถไม่ติด ถ้าคิดค่าโดยสารตามเวลาค่าโดยสารจะเพิ่มแค่ 3-4 เปอร์เซ็นต์ ไม่ได้เยอะมาก แต่ถ้าเข้าไปในพื้นที่รถติด ค่าโดยสารจะเพิ่มประมาณ 9 เปอร์เซ็นต์ ตอนนี้ก็จะสะท้อนให้เห็นภาพว่าเราตอบโจทย์การแก้ปัญหาไหม เพราะคนขับไม่อยากเข้าไปในพื้นที่รถติด ตรงนี้มันก็จะทำให้รายได้ของเขาเพิ่มมากขึ้น” สุเมธ กล่าว
อย่างไรก็ตาม นักวิชาการ TDRIผู้นี้ ยังกล่าวด้วยว่า ด้านหนึ่งเมื่อมี “ระบบจูงใจ” ให้คนขับไม่ต้องกังวลในการขับรถเข้าไปในพื้นที่การจราจรหนาแน่นเพราะรู้ว่าถึงเข้าไปก็ยังได้ผลตอบแทนคุ้มค่า อีกด้านก็ต้องมี “ระบบควบคุม” พฤติกรรมคนขับเช่นกันจากปัจจุบันที่เป็นลักษณะ “เรียกคนขับมาปรับตามข้อร้องเรียนแล้วก็จบกันไป” ควรปรับเปลี่ยนสู่ “การตัดแต้ม”กรณีทำผิดเรื่องเดิมๆ ซ้ำซาก เมื่อถึงจุดหนึ่งต้องถูกพักหรือเพิกถอนใบขับขี่สาธารณะ แล้วแต่ระดับของการ
กระทำผิด
ต้องยอมรับว่า “ราคาค่าแท็กซี่ประเทศไทยค่อนข้างต่ำ” โดยอัตราเริ่มต้น 35 บาทนั้นใช้มาตั้งแต่ปี 2535จนถึงปัจจุบันทั้งที่ราคาเชื้อเพลิงไม่ว่าน้ำมันหรือก๊าซปรับตัวสูงขึ้นไปมาก เมื่อบวกกับจำนวนรถยนต์ที่เพิ่มขึ้น การจราจรติดขัดมากขึ้น “รถแท็กซี่ใช้เวลาบนถนนมากขึ้นแต่ทำระยะทางได้น้อยลง” ทำให้คนขับที่รายได้ขึ้นอยู่กับระยะทางไม่ใช่เวลา เลือกที่จะปฏิเสธผู้โดยสาร ไม่เข้าไปในพื้นที่รถติด เพราะไม่อยากเสี่ยงกับการขาดทุน
“ใจเขาใจเรา” เข้าใจหัวอกคนขับแท็กซี่บ้าง..เพราะขนาด “แอพพลิเคชั่นเรียกรถรับ-ส่ง ที่ให้รถบ้านส่วนบุคคลไม่ใช่รถรับจ้างสาธารณะมาวิ่ง” ยังตั้งอัตราค่าโดยสารตามเหตุปัจจัยต่างๆเช่น ฝนตก รถติด ฯลฯ เพื่อจูงใจคนขับ แสดงว่าต้องมีผลแก้ปัญหาปฏิเสธผู้โดยสารได้จริงๆ!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี