กรมอุทยานแห่งชาติ เตรียมฟื้นฟูระบบนิเวศถ้ำหลวงครั้งใหญ่หลังช่วย 13 หมูป่าติดถ้ำสำเร็จ ติดกล้องวงจรปิดใน 48 จุดเสี่ยง พร้อมทำสายรัดข้อมือติดตามตัวนักท่องเที่ยวหากเกิดเหตุพลัดหลง เบื้องต้นใช้งบฯ 42 ล้านบาท เปิดตำนานเล่าขานถึงความรัก-อาถรรพ์แห่งถ้ำหลวง-ขุนน้ำดอยนางนอน
หลังสิ้นสุดภารกิจนำตัวนักฟุตบอลเยาวชนและโค้ช ทีมหมูป่าอะคาเดมี แม่สาย ทั้ง 13 ชีวิตออกจากถ้ำหลวง วนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน อ.แม่สาย จ.เชียงราย ซึ่งสิ้นสุดลงเมื่อเวลา 18.47 น.วันที่ 10 ก.ค.2561 ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก็ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งฟื้นฟูถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอนให้ระบบนิเวศกลับมาเป็นปกติ เพื่อจะได้พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวต่อไป แต่ทั้งนี้จะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก เพื่อที่วันข้างหน้าจะได้พัฒนาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลกมาเยือน และเชื่อว่าสถานที่แห่งนี้จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงในอนาคต
นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กล่าวว่า งานใหญ่ของกรมอุทยานฯ หลังภารกิจช่วย 13 ชีวิตถ้ำหลวง คือ การซ่อมแซมฟื้นฟูพื้นที่ครั้งใหญ่ เพราะนับแต่เกิดเรื่องทางกรมอุทยานฯ ได้เตรียมการเอาไว้ทั้งหมดแล้ว เบื้องต้นใช้งบประมาณ 42 ล้านบาท โดยการฟื้นฟูแบ่งออกเป็น 2 ระยะคือ ระยะเร่งด่วน และระยะยาว
โดยแบ่งเป็น 1.เรื่องการบริหารสถานที่ 2.การจัดอัตรากำลังเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานเฉพาะด้าน 3.ตั้งศูนย์บริการท่องเที่ยว และรักษาความปลอดภัย 4.การจัดนิทรรศการและศูนย์บริการนักท่องเที่ยว รวมถึงวางระบบรักษาความระบบช่วยเหลือฉุกเฉินนอกจากนี้จะมีการประกาศให้ วนอุทยานถ้ำหลวง เป็นพื้นที่อุทยานแห่งชาติอีกแห่ง หลังเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาดำเนินการไม่นาน
นายจงคล้าย วรพงศธร รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กล่าวว่า หลังเสร็จภาคกิจช่วย 13 หมูป่าออกจากถ้ำได้แล้ว เจ้าหน้าที่ยังคงปักหลักอยู่บริเวณถ้ำหลวงต่ออีกหลายวันคอยจัดการเรื่องน้ำที่จะไหลเข้าถ้ำ หลังจากนั้นจะฟื้นฟูพื้นที่ทั้งหมด ทั้งนอกถ้ำและในถ้ำเพื่อให้ระบบนิเวศของถ้ำกลับมาเหมือนเดิม ก็ไม่น่าจะมีปัญหา เพราะพื้นที่ในถ้ำไม่ได้รับผลกระทบมากนัก
"ผลการสำรวจเพื่อหาโพรงภายนอกถ้ำ จนถึงวันนี้เราก็ยังคงสำรวจอยู่ พบแล้วประมาณ 100 โพรง บางโพรงไปได้ แต่ไปไม่ถึง บางโพรงก็เป็นโพรงตัน แต่ที่เป็นโพรงขนาดใหญ่ หลังจากนี้ต้องทำการอุดให้กลับไปสู่สภาพเดิมมี 3 โพรงด้วยกัน ซึ่งกรมอุทยานฯ เองทำไม่ได้ จึงต้องให้กรมทรัพยากรธรณี ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้เข้ามาช่วยดำเนินการ เพื่อให้สภาพด้านนอกของถ้ำคืนสู่สภาพเดิมให้มากที่สุด" นายจงคล้าย กล่าว
ติดวงจรปิด 48 จุด-สายรัดข้อมือตามตัว
ด้านนายทรงธรรม สุขสว่าง ผอ.สำนักอุทยานแห่งชาติ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช เปิดเผยว่า หลังการช่วยเหลือ ทีมหมูป่า 13 ชีวิตที่ติดภายในถ้ำหลวงเสร็จสิ้นลง กรมอุทยานฯ เตรียมเดินหน้าฟื้นฟูระบบนิเวศภายในถ้ำ เช่นเก็บขยะ นำสายไฟและท่อสูบน้ำออกจากถ้ำให้หมด รวมถึงระบบนิเวศน์โดยรอบด้วย ซึ่งคาดว่าจะต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 3 เดือน
นอกจากนี้ ยังเตรียมแผนนำร่องปรับปรุงพัฒนาถ้ำหลวงให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว ที่มีความปลอดภัยป้องกันการเกิดเหตุซ้ำ โดยการแบ่งเขตการบริหารจัดการให้มีความชัดเจน เพิ่มอัตรากำลังเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานเฉพาะด้าน ทั้งการนำทางกูภัย การรักษาเวรยามให้มีมากขึ้น จัดตั้งศูนย์บริการนักท่องเทียว
ส่วนในด้านความปลอดภัยจะติดตั้งกล้องวงจรปิดโดยรอบบริเวณแหล่งท่องเที่ยวถ้ำหลวง 16 จุดบริเวณขุนน้ำนางนอน 16 จุด และบริเวณภายในถ้ำหลวงอีก 16 จุด รวม 48 จุดโดยจุดที่มีความมืดจะติดตั้งกล้องวงจรปิดแบบอินฟาเรดและติดตั้งไฟ เพื่อเพิ่มแสงสว่าง ทั้งด้านในและนอกถ้ำ
พร้อมติดตั้งระบบช่วยเหลือฉุกเฉินในลักษณะปุ่มกดตามจุดต่างๆ หากเกิดเหตุพลัดหลง นักท่องเที่ยวสามารถ กดปุ่มนี้เพื่อส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือมายังศูนย์รักษาความปลอดภัย และยังเตรียมติดตั้งเครื่องวัดน้ำตามลำห้วย เพื่อแจ้งเตือนสถานการณ์น้ำมายังภายในถ้ำ
นอกจากนี้กรมอุทยานฯ ยังมีแผนกำหนดขอบเขตจุดอันตราย จุดห้ามเข้าและควบคุมการเข้าออกของนักท่องเที่ยวเข้มงวดขึ้น และเตรียมปรับปรุงป้านเตือน ขยายเวลาห้ามเข้าถ้ำจากเดิมที่ห้ามเข้าช่วง ก.ค.-พ.ย.จะเปลี่ยนเป็นห้ามเข้าในช่วง พ.ค.-ต.ค.หรือตลอดช่วงที่กรมอุตุนิยมวิทยา แจ้งเตือนว่าช่วงไหนเข้าสู่ฤดูฝนก็จะห้ามนักท่องเที่ยวเข้าถ้ำเด็ดขาด
ในส่วนนี้จะขยายไปยังถ้ำ 169 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งเป็นถ้ำในอุทยานแห่งชาติ 103 แห่งและในวนอุทยาน 66 แห่งและจัดทำทำสายรัดข้อมือ แจกให้กับนักท่องเที่ยวก่อนเข้าถ้ำ เพื่อติดตามตัวนักท่องเที่ยวหากเกิดเหตุพลัดหลง ทั้งเตรียมปรับปรุงพัฒนาระบบสาธารณูปโภค ถนนลาดยางแบบมีไหล่ทางและรางน้ำ พัฒนาเส้นทางศึกษาธรรมชาติภายในถ้ำหลวง ระยะทาง 1,000 เมตรเพิ่มด้วย
*มารู้จัก"ถ้ำหลวง-ขุนน้ำดอยนางนอน"
สำหรับ "ถ้ำหลวง-ขุนน้ำดอยนางนอน" นี้อยู่ในพื้นที่ ต.โป่งผา อ.แม่สาย จ.เชียงราย ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าดอยนางนอน มีเนื้อที่ประมาณ 5,000 ไร่ กรมป่าไม้ได้ประกาศจัดตั้งเป็นวนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2529 โดยหน่วยงานที่ดูแลหลักคือ สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 เชียงราย โดยถ้ำหลวง เป็นถ้ำหินปูนขนาดใหญ่ ปากถ้ำเป็นห้องโถงกว้างมากภายในถ้ำจะพบกับความงามของ เกล็ดหินสะท้อนแสง หินงอก หินย้อย ธารน้ำ และถ้ำลอด ภายในถ้ำและยังมีถ้ำเล็กๆ อีก 3 แห่งในบริเวณเดียวกัน
โดยลักษณะภายนอกของวนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอนนั้นจะเห็นเป็นทิวเขาคล้ายรูปผู้หญิงสยายผม นอนทอดกายยาวขนานไปกับถนนในเขต อ.แม่จัน และ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย ซึ่งเป็นที่ตั้งของพระธาตุดอยตุง โดยจะเห็นคล้ายมือขวา ส่วนหัว หน้าอก และลำตัวอย่างชัดเจน คนในพื้นที่จะเรียกกันว่า "ดอยนางนอน" มีจุดสูงสุดคือ "ผาช้างมูบ" ซึ่งมีความสูงจากน้ำทะเลประมาณ 830 เมตร
ส่วนสภาพถ้ำมีปากถ้ำที่สูง โถงถ้ำแรกที่เปิดกว้าง ระดับพื้นดินต่ำกว่าปากถ้ำเป็นร่องทางน้ำที่ไหลออกจากถ้ำ โดยมีร่องน้ำผ่านระหว่างโถงที่ 1 และทางขวามือของร่องน้ำจะเป็นโนนดินที่สูงขึ้น มีร่องรอยหลุมยุบ และเป็นโถงที่ 2 ต่อจากโถงที่ 1 มีร่องรอยหินถล่มด้านซ้ายมือ สิ้นสุดบันไดจากบริเวณปากถ้ำ เป็นทางเดินดินสั้นๆ ต่อจากนั้นเป็นขั้นบันไดที่เทด้วยปูนซิเมนต์จำนวน 5-6 ขั้น ยกระดับขึ้นทอดเข้าสู่ความยาวของตัวถ้ำ
สำหรับภายในถ้ำ ถือว่ามีความงดงามที่รอคอยนักท่องเที่ยวให้ไปเที่ยวชมอยู่ เนื่องจากเป็นถ้ำหินปูนขนาดใหญ่ มีความยาวกว่า 7 กิโลเมตร เชื่อกันว่ามีความยาวมากที่สุดในประเทศไทย มีน้ำซับตลอดทั้งปี อีกทั้งภายในถ้ำมีห้องโถงกว้างใหญ่ สลับเส้นทางเดินที่ล้อมรอบไปด้วยหินเกล็ดสะท้อนแสง หินงอก หินย้อย และถ้ำลอดที่สวยงาม รวมทั้งมีค้างคาว
ที่นี่จึงถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมและสำคัญแห่งหนึ่งของ อ.แม่สาย ที่นักท่องเที่ยวมักเข้าชมความงามภายในถ้ำต่อเนื่องตลอดแทบทั้งปี แต่ไม่มีบ้านพัก หากนักท่องเที่ยวต้องการพักค้างแรมบริเวณอุทยานฯ สามารถนำเต็นท์เข้ามาพักค้างแรมได้ ทางอุทยานฯ มีห้องน้ำและเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยให้
ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวจะเป็นชาวต่างชาติมากกว่าคนไทย เนื่องจากภายในถ้ำค่อนข้างเปียกชื้น และทางวนอุทยานฯ ไม่ได้มีการติดตั้งแสงไฟส่องสว่าง นักท่องเที่ยวต้องยืมหรือเช่าไฟฉายจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยว รวมทั้งถ้ำหลวงอาจไม่ใช่ลักษณะถ้ำที่เป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวไทย แต่อาจมีความเหมาะสมในเชิงการศึกษาวิจัย
ดังนั้น ป้ายแสดงเส้นทาง หรือบอกรายละเอียดภายในถ้ำจึงมีบ้าง แต่ค่อนข้างชำรุด นอกจากนี้ ทางวนอุทยานฯ ได้รวบรวมสถิตินักท่องเที่ยวเป็นจำนวนรวม ไม่ได้แยกว่านักท่องเที่ยวมาที่ถ้ำหลวง หรือไปที่ขุนน้ำนางนอน จึงคาดการณ์ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะมาที่ถ้ำหลวง จะมาในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเมษายน
แต่ยกเว้นช่วง "ฤดูฝน" ที่เจ้าหน้าที่จะปิดการเข้าเยี่ยมชมในส่วนของ "ถ้ำ" เนื่องจากจะมี "น้ำท่วมภายในถ้ำ" ซึ่งปริมาณน้ำในถ้ำจะเพิ่มระดับขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะเทือกเขานางนอนมีภูเขาสูงสลับซับซ้อนเป็นจำนวนมาก ทำให้ระดับน้ำในถ้ำที่อยู่ต่ำกว่า มีน้ำเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว บางจุดท่วมสูงถึง 8-10 เมตร ทำให้ทางเดินถูกตัดขาดและน้ำไหลเชี่ยวกราก เจ้าหน้าที่จึงจำเป็นต้องปิดการเยี่ยมชม โดยเฉพาะถ้ำหลวงและถ้ำทรายทอง ซึ่งตั้งอยู่ภายในวนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน รวม 2 แห่ง โดยทางเจ้าหน้าที่จะรอจนกว่าระดับน้ำภายในถ้ำแห้งสนิท จึงจะเปิดการเยี่ยมชมต่อไป
*ตำนานเล่าขานถึงความรัก-อาถรรพ์
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องราวเกี่ยวกับตำนานที่เล่าสืบต่อกันมาเกี่ยวกับ "ถ้ำหลวง-ขุนน้ำดอยนางนอน" โดย "ชมรมฮักตั๋วเมือง" บอกว่า เจ้าหญิงองค์หนึ่งแห่งเมืองเชียงรุ้ง แอบชอบพอกับชายหนุ่มคนดูแลม้า จนกระทั่งตั้งครรภ์ กลัวว่าพ่อจะลงโทษ จึงพากันหนีมาถึงแคว้นไชยนารายณ์ หนุ่มสาวทั้งสองอ่อนเพลียเป็นอันมาก ชายหนุ่มจึงบอกให้เจ้าหญิงนอนพัก ส่วนชายหนุ่มออกไปหาอาหารมาให้ แต่ก็ถูกทหารที่ติดตามมาฆ่าตาย เจ้าหญิงรอคอยเป็นเวลาหลายวัน เมื่อสามีไม่ได้ย้อนกลับมา จึงตัดสินใจบูชารักโดยเอาปิ่นปักผมแทงศีรษะละสังขารตำแหน่งที่นางทอดกายนอนหงายตายคือดอยนางนอน เลือดที่ไหลรินออกมาเป็นสาย กลายเป็นแม่น้ำสาย
ส่วนอีกตำนาน เล่าว่า เจ้าหญิงเมืองพุกาม ออกตามหาเจ้าชายที่นางรัก นางออกรบ มีผู้คนล้มตายมากมาย และขยายอาณาเขตมาเรื่อยๆ จนมาถึงเวียงสี่ทวงจึงพบกับเจ้าชาย แต่ปรากฏว่าเจ้าชายหนีหายไปกับสาวสวยชาวเวียงนี้อีกครั้งนางรู้สึกเศร้าสลดจนตรอมใจตาย
ก่อนตายได้ตั้งจิตอธิษฐานให้ร่างของนางกลายเป็นเทือกเขา ที่ชาวบ้านพากันเรียกว่า "ดอยนางนอน" น้ำตาที่ไหลรินกลายเป็น "ขุนน้ำนางนอน" ส่วนไพร่พลของนางก็กลายมาเป็นชนเผ่าหลากชาติพันธุ์บนภูเขาแห่งนี้
สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการอยากจะเข้าไปเที่ยวในถ้ำแห่งนี้ ข้อมูลจากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ได้แนะนำไว้ว่า ควรสวมสื้อผ้าที่รัดกุม สวมรองเท้าหุ้มส้นเพื่อให้เดินได้มั่นคงบนพื้นถ้ำ สวมหมวกสำหรับกันหยดน้ำ มูลค้างคาว และป้องกันศรีษะชนกับโขดหิน
ส่วนอุปกรณ์ในการเที่ยวถ้ำที่สำคัญที่สุด คือ ไฟฉายหรือตะเกียงเจ้าพายุ แต่ "ห้ามใช้คบไฟ เทียนไข หรือตะเกียงที่มีเปลวไฟ เพราะแสงสว่างจากสิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดควันหรือเขม่าไฟลอยไปจับตามผนังถ้ำ หรือหินงอก หินย้อย"
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี